แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ personal finance แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ personal finance แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

KZM

ช่วงนี้มีคนถามผมเกี่ยวกับ kzm หลายคน แต่ละครั้งผมก็ยกตัวอย่างแตกต่างกันไป พอดีๆนึกตัวอย่างแบบชาวบ้านๆขึ้นมาได้ เลยเอามาลงบล็อกดีกว่า

kzm เป็นเหมือนงานประจำ จริงๆเอาเป็นร้านขายของชำดีกว่า อาจจะไม่ได้ทำกำไรได้เยอะแยะ เพราะของมันมาร์จิ้นต่ำ ขนมถุงนึง น้ำขวดนึง กำไรไม่เท่าไหร่ แต่สร้างกระแสเงินสดได้เรื่อยๆ

ถ้าเกิดฝันเห็นเลขเด็ดๆ หรือมีคนมาบอกเลขเด็ด ก็อาจจะนำเงินที่เหลือจากการสำรองไว้ซื้อสินค้าเข้าร้านไปซื้อหวยเล่นๆ ไม่ถูกก็ถือว่าเสี่ยงโชคขำขำ แต่ถ้าถูกก็ได้เงินเยอะขึ้น

หรือถ้าวันนึงสะสมเงินจนพอจะตกแต่งร้านให้ดูดีขึ้น มีสินค้ามากขึ้น หรือถ้ามีเงินมากกว่านั้นก็เปิดร้านเพิ่มได้อีก ขยายสาขาไปเรื่อยๆ หรือแตกไปเปิดร้านประเภทอื่นที่สร้างกระแสเงินสดได้อีกทาง

บางคนอาจจะมองว่ามันโตช้า แต่ลองคิดดูในความเป็นจริง ถ้าไม่มีรายรับอะไรเลย มีเงินติดกระเป๋านิดหน่อย จะเสี่ยงซื้อหวยจริงๆเหรอ การวางแผนในการเทรดก็ควรจะเหมือนกับการวางแผนในชีวิตเรานั่นแหละครับ

วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

บทเรียนจากพ่อที่เป็นตัวอย่างให้ลูกในการลงทุนและใช้ชีวิต

บทความนี้ผมก็อปมาอีกทีนึงครับ
ขอขอบคุณ dr.k ที่นำบทความดีๆมาให้ได้อ่าน

พ่อสอนผม - บทเรียนจากพ่อที่เป็นตัวอย่างให้ลูกในการลงทุนและใช้ชีวิต
โดย มือเก่าหัดขับ (สงวนลิขสิทธิ์ พศ.2548)

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนๆ ที่เว็ป www.thaivalueinvestor.com ได้ขอ (หรือยุ ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย) ให้ผมเขียนให้อ่านกัน โดยถือว่าเป็นการเล่าและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากกว่าการสอน เพราะผมคงไม่อาจจะสอนใครได้ครับ

แรกเริ่มเดิมที เพื่อนๆขอให้เล่าเรื่องที่คุณพ่อผมสอนเล่นหุ้น แต่ด้วยความที่พ่อไม่เคยสอนผมเล่นหุ้น มีแต่เป็นการให้ข้อคิดในแง่มุมอื่น ผมจึงต้องขอแก้ชื่อเรื่องก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องพ่อสอนเล่นหุ้น เพราะพ่อเองก็ไม่เคยเล่นหุ้นด้วย แต่พ่อซื้อหุ้นเพราะเหตุผลอื่นครับ คือมองเป็นการลงทุนจริงๆ ไม่ใช่ว่าซื้อมาขายไปเอากำไรทำนองนั้น พ่อเองยังอยู่ดีมีสุข ไม่ค่อยได้ตามหุ้นว่ามันจะขึ้นหรือลง หลังๆ มาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก (ตามอายุ) ก็เลยบอกให้ผมดูแทน แต่ไม่ค่อยได้เทรดอะไร เพราะไม่จำเป็นและเราทั้งสองคนไม่ชอบ รวมทั้งออกจะขี้เกียจในการซื้อๆ ขายๆ ด้วยครับ

ผมขอละเว้นไม่ระบุชื่อหุ้นต่างๆ และราคาที่ทำการซื้อขายใดๆ นะครับ เนื่องจากคงไม่เกิดผลดีใดๆ ต่อใครทั้งสิ้น ผมก็ขอเริ่มเล่าไปเรื่อยๆ เลยก็แล้วกันนะครับ



วันหนึ่ง นานมาแล้ว ผมเริ่มสนใจในตลาดหุ้น ผมเล่าให้พ่อฟังว่า ผมเริ่มไปเปิดพอร์ตเพื่อซื้อขายหุ้นนะ เพราะว่าได้ร่ำเรียนมา น่าจะพอดูบริษัทออกได้บ้าง อย่างบัญชีหรืองบการเงินก็พอจะดูเป็น (ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ได้เป็นนักบัญชี แต่ผมตั้งใจว่าจะใช้ความรู้ตรงนี้เป็นส่วนประกอบเบื้องต้นในการคัดเลือกหุ้น) คงไม่เจ๊งหรอกน่า ผมก็เริ่มพูดเรื่องหุ้นกับพ่อ พ่อเองที่แต่ก่อนไม่เคยคุยเรื่องหุ้นกับผมเท่าไร พอผมเริ่มพูด พ่อก็เริ่มคุยด้วย

ผม: พ่อมีหุ้นอะไรบ้างครับเนี่ย?
พ่อ: พ่อมี xxx อยู่ yyy หุ้น แล้วก็ abc, แล้วก็ def, กับ ghi นอกนั้นไม่ค่อยเท่าไร
ผม: เยอะเหมือนกันนี่ครับ อืมม์... แล้วพ่อซื้อนานหรือยังล่ะ
พ่อ: โอ๊ย นานแล้ว ส่วนใหญ่จองได้มานะ เก็บไว้จนลืมนั่นแหละ เห็นมันถูกดี ถูก คือมีอนาคตดี มีปันผล แล้วก็โตไปได้ตามเศรษฐกิจนะ พ่อว่า ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น สินค้าของบริษัทก็ต้องขายดีขึ้นแน่ๆ อย่างไงบ้านเมืองเราก็ต้องขยายตัว ตอนซื้อมาราคาจองไม่กี่บาทเอง แต่พ่อซื้อเพิ่มทีหลังด้วยก็มี

ผม: ใช่พ่อ ถ้าพ่อไม่ซื้อๆ ขายๆ นะ ตัวที่พ่อถือนี่แหละ ถือลืมได้เลย (ผมเคยดูงบการเงินย้อนหลังและการจ่ายปันผล รวมทั้งธุรกิจของบริษัทนั้นมาก่อน)
พ่อ: เออ! พ่อก็ถือลืมนั่นแหละ เอ... ใบหุ้นอยู่ในตู้เซฟนั่นแหละ บริษัท xxx นี้มีใบหุ้นด้วย (ยิ้ม)
ผม: ก็ดีนะพ่อ ไม่ต้องไปดู หรือคิดจะขาย รับปันผลลูกเดียว
พ่อ: ก็นั่นแหละ รับมานานแล้ว จริงๆ แล้วที่ซื้อเพิ่ม ก็ปันผลมันน่ะแหละ ไม่ต้องออกตังค์ ดีไหม?
ผม: ดีครับ เหมือนได้หุ้นฟรีๆ (ยิ้ม)
พ่อ: ก็นั่นแหละ พ่อเก็บไว้ให้แก เพราะพ่อไม่ได้ใช้ พ่อมีเงินใช้ทุกเดือนอยู่แล้ว
ผม: ... (แต่ยิ้มกว่าเดิม) ไม่เป็นไรครับ ผมจะเก็บไว้เหมือนกัน
พ่อ: เออ... แล้วแกซื้อหุ้นอะไรไว้บ้างล่ะ
ผม: ก็พอมีนะครับ หลายบริษัทเหมือนกัน (ตอนนั้นผมมีหุ้นราวๆ เจ็ดแปดตัวได้) ตัวละนิดๆ หน่อยๆ ครับ
พ่อ: แล้วเป็นไงบ้าง มีปันผลหรือเปล่า?
ผม: ก็มีนะครับ มากบ้างน้อยบ้าง
พ่อ: แล้วถ้าเทียบกับทั้งพอร์ตล่ะ?
ผม: (งงไปสักพักหนึ่ง เพราะไม่เคยคิดอ่ะ) อืมม์ ไม่รู้แฮะพ่อ แหะๆ
พ่อ: อ้าว ทำไมไม่รู้ล่ะ ลองคิดดูสิ ว่าถ้าเทียบกับเงินที่ลงทุนไปหมดเนี่ย น่าจะได้ปันผลเท่าไร แล้วลองดูซิว่าจริงๆ แล้วได้อย่างที่คิดหรือเปล่า ปีนี้ ปีหน้า จะได้มากขึ้นหรือน้อยลง อะไรแบบนั้น
ผม: ครับๆ เดี๋ยวลองไปคิดดู

พ่อ: อืมม์.. แกซื้อหุ้น แกก็คิดว่าเป็นการออมอย่างหนึ่งก็แล้วกัน เสี่ยงกว่าฝากธนาคาร แต่ก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เรียกว่าออมไว้ส่วนหนึ่งในหุ้นนะ คิดเสียว่าทำให้เงินงอกเงย
ผม: ครับ ผมก็คิดแบบนั้นแหละ
พ่อ: แล้วก็อย่าไปซื้อๆ ขายๆ มาก คนรวยน่ะไม่ใช่เราหรอก นายหน้ารวยลูกเดียว ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย
ผม: อ้าว?!? แล้วถ้าซื้อแล้วได้กำไร หรือขาดทุนล่ะ ไม่ขายหรือพ่อ
พ่อ: แกก็ดูเอาสิ ว่ามันคุ้มไหม ได้กำไรน่ะ ได้จริงหรือเปล่า ขายแล้วจะเอาเงินไปทำอะไรที่มันดีกว่า หุ้นมันขึ้นเพราะอะไร มันจะขึ้นไปเรื่อยๆ ไหม เกินกว่าที่มันน่าจะเป็นหรือยัง ถ้ามันยังจะขึ้นไปอีก ก็ถือรับปันผลไปเรื่อยๆก็ได้นี่ บางที พ่อก็เห็นหุ้นมันขึ้นไปเรื่อยๆ นะ อย่างบางตัวนี่คน "ซื้ออนาคต" กันเป็นหลายๆ ปีเลย จะรู้ได้ไงว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ (พ่อสอนผมทางอ้อมให้หัดประเมินความเป็นไปได้ในการคาดการณ์)
ผม: ก็จริงนะครับ ผมว่าผมเลือกหุ้นที่ดีวันนี้เลยดีกว่า หรือไม่ก็ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ดีวันนี้ ก็ต้องดีแน่ๆ แบบสตางค์รอวิ่งเข้ากระเป๋า แล้วก็ดีไปเรื่อยๆ แบบมีรายได้แน่ๆ เหมือนที่ผมทำงาน (ผมหมายถึงงานส่วนตัว ที่ผมมักจะตัดความเสี่ยงออกทั้งหมด เรียกว่าถ้าไม่ได้กำไรแน่ๆ ผมไม่ทำ เพราะไม่จำเป็นต้องรับเอาไว้ทำ)
พ่อ: หาได้แบบนั้นก็ดี แต่ว่าแกก็ต้องทำงานนะ คือหามัน จะไปเชื่อใครเขาไม่ได้ พวกเชียร์หุ้นวิจารณ์หุ้นน่ะ บางทีพ่อไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
ผม: ใช่ครับ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อ
พ่อ: แกก็ฟังข้อมูลเขาเอาก็แล้วกัน ที่คาดว่าอย่างนั้น คาดว่าอย่างนี้ ก็คิดเอาเอง ว่าคาดกี่ที มันหลายตลบนักก็ท่าจะไม่แม่นเท่าไร ข้อแม้มันเยอะเหลือเกิน พ่อเลือกหุ้นที่มัน defensive หน่อยดีกว่า
ผม: ดีครับ พวกนี้อึดดี (ผมหมายถึงหุ้นพวก defensive เพราะไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนักกับการดำเนินงาน)

พ่อ: วันนี้หุ้นผันผวนนะ (เออ... พ่อใช้คำพวกนี้ก็เป็นแฮะ) บางทีพ่อเห็นหุ้นวิ่งขึ้นลงแล้วน่าเวียนหัว เดี๋ยวขึ้นเดียวลง มันอะไรนักหนา แบบนี้ไม่เรียกว่าปั่นว่าทุบ แล้วเรียกว่าอะไร มีแต่ข่าวมาเล่นกันได้บ่อยๆ นี่เห็นว่า กลต. เขาจะเล่นงานอยู่นี่
ผม: ใช่ครับ หุ้นนั้น (ผมพูดชื่อหุ้นตัวหนึ่ง) ข่าวเยอะมาก ข่าวดีมารอบหนึ่ง หายไปครึ่งเดือน ข่าวร้ายมาแล้ว หายไปอีกหน่อย ข่าวดีออกมา ไม่รู้อะไรนักหนา คงมีคนเจ๊งคนได้กันไปบ้างแหละ
พ่อ: ธรรมดา มีคนได้ ก็ต้องมีคนเสีย ซื้อวันนี้พรุ่งนี้ขาย ไม่ได้ก็เสียแหละ ปันผลก็ไม่เคยได้ บริษัทยังไม่ทันจะรับผลประโยชน์จากการดำเนินการเลย ก็ขายเสียแล้ว แบบนั้นไม่เรียกลงทุน แบบนั้นเรียกว่าซื้อขายหุ้นเพื่อเอากำไร มูลค่าเพิ่มจากการทำงานของบริษัทมันยังไม่เกิดเลย
ผม: ก็นั่นแหละครับ คนเขาบอกว่าสนุก
พ่อ: แล้วเสียเงินไหมล่ะ?
ผม: คนได้ก็มีนะพ่อ
พ่อ: แล้วจะต้องไปเสี่ยงทำไมล่ะ พ่อเห็นมีแต่คนบ่นขาดทุน คนได้มีแค่หยิบมือ แต่สุดท้ายไปๆมาๆ ก็เสมอตัวเสียเยอะ พอได้ แล้วก็มาเสีย คืนเงินเขาไป
ผม: ก็ไม่ใช่เงินของตัวเองนี่ ได้มาฟรี ก็ต้องเสียไปฟรีๆ
พ่อ: ถูกแล้ว เงินที่ไม่ใช่ของเรา ก็ต้องคืนเขาไปอยู่ดี ของฟรีไม่มีหรอกลูก แต่ถ้าเราถือหุ้นไว้ ให้บริษัทมีผลดำเนินงาน แล้วจ่ายปันผลเรา แบบนี้มันเป็นของเรา เราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราเป็นเจ้าของบริษัทด้วยกัน ร่วมหัวจมท้ายกัน
ผม: ก็จริงครับ ไม่บาปด้วย เอ.. แต่คนเขาซื้อขายบ่อยๆ แบบเก็งกำไร เขาก็พร้อมจะขาดทุนกัน แบบว่าอยู่ในสนามเดียวกัน เขาคงไม่คิดว่าถูกเบียดเบียนหรอกครับ ฉะนั้นคนที่เล่นแบบเดียวกันคงไม่บาปหรอกพ่อ (แล้วผมก็หัวเราะ)
พ่อ: แบบนั้นอาจจะเบียดเบียนตัวเองก็ได้นะ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเบียดเบียนผู้ใด แม้แต่ตัวเอง
ผม: !?! (นึกในใจ มีด้วยหรือฟะ เบียดเบียนตัวเอง)

หลังจากดูหุ้นวิ่งขึ้นๆ ลงๆ สักพักหนึ่ง เศรษฐกิจรวมๆ ก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ การใช้จ่ายของประชาชนและของรัฐบาลก็มากขึ้น (จริงๆ แล้วต้องมองสองด้านเสมอ คือทั้งด้านดีและไม่ดี) โครงการเมกกะโปรเจ็กท์เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดเมื่อไม่นานมานี้ วันหนึ่งผมไปหาพ่อ นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระตามปกติ แล้วก็พาลวกเข้ามาเรื่องหุ้นจนได้...

พ่อ: หุ้น mno (ชื่อสมมติ) เป็นไงบ้าง ดีไหม?
พ่อพูดถึงหุ้นตัวใหม่อีกตัวหนึ่งที่ไม่เคยมีในพอร์ต เป็นหุ้นที่เรียกว่าใช้ได้ตัวหนึ่ง เข้าสูตรพ่อว่าพ่อต้องชอบ เพราะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ สภาพคล่องพอสมควร เรียกว่ามีสภาพเท่าๆ กับเงินสดเหมือนกัน และก็กำลังฟื้นตัว
ผม: ก็ดีนะครับ แต่ตอนนี้แพงไปหน่อย (ผมว่าตามความรู้สึก)
พ่อ: แพงอย่างไงล่ะ ไหนอธิบายหน่อย
ผม: คือราคามันขึ้นมามากแล้ว อีกไม่นานคงยุ่งแน่ๆ (ผมหมายถึงว่าจะต้องราคาตกต่ำลง ใครๆที่ซื้อไว้ก็อาจจะตกใจได้)
พ่อ: แล้วกำไรเป็นอย่างไรบ้างล่ะ พ่อเห็นเศรษฐกิจดีขึ้น คนน่าจะใช้สินค้าของเขามากขึ้นนะ ราคาที่ขึ้น อาจจะขึ้นได้อีก มันอยู่ที่การดำเนินงานของบริษัทมากกว่า ไม่ใช่ว่าขึ้นแล้วต้องลงเสมอไป มันอยู่ที่ว่าขึ้นเกินความสมควรไปหรือยัง (พ่อหมายถึงราคาอันควรที่จะได้ผลตอบแทนเกิน NPV - Net Present Value ของมัน) ถ้ายัง ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา
ผม: (อ้ำอึ้งไปนิดหนึ่ง เพราะปกติถ้าหุ้นขยับขึ้นถึงจุดหนึ่ง ก็จะมีแรงขายสวนออกมาเสมอ บางคนเข้าซื้อแล้วทนไม่ได้ ก็มักจะถอดใจขายขาดทุนออกมา แล้วหุ้นนั่นก็วิ่งสวนขึ้นไปให้เจ็บใจ แถมตามไม่ทันอีก แต่กับพ่อ คงไม่เท่าไรเพราะพ่อหนักแน่นเรื่องแบบนี้เสมอ แต่ผมก็อดหยอดความเห็นเพิ่มไปไม่ได้) มันก็จริงน่ะครับ แต่ว่า ผมว่านะ สินค้านี้มันแข่งกับต่างประเทศไม่ได้ นี่ถ้าเปิดเสรี แล้วก็โดนบีบเรื่องให้เอากำแพงภาษีออกล่ะก็ เสร็จแน่ๆเลย ของต่างประเทศเข้ามาคงถูกกว่าแน่
พ่อ: เฮ้ย! นั่นมันเรื่องการเมืองนะ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องภาษีนี่คงลำบาก รัฐบาลไม่เอากำแพงออกแน่พ่อว่า ไม่งั้นต้องพังกันหมด เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร ไม่งั้นก็เจ๊งไปตั้งนานแล้วล่ะ นี่อยู่มาได้ตั้งนาน
ผม: พ่อว่างั้นเหรอ เอางี้นะครับ เดี๋ยวเราเอางบการเงินมาดูกันก่อนตัดสินใจดีกว่า
พ่อ: พ่อไม่ได้เรียนมานะ แต่พ่อส่งแกไปเรียนมาแทนไง ก็ดี เอามาดูกัน อย่าลืมนะ คราวหน้าเอามาด้วย ทำอะไรก็ต้องรีบคิดรีบทำนะ เวลาไม่รอใครหรอก

ผมหายหน้าไปหนึ่งสัปดาห์ กลับมาหาพ่อพร้อมกับข้อมูลทั้งของตลาดหลักทรัพย์ และบทวิจัยของโบรกเกอร์สองสามราย เกี่ยวกับหุ้นตัวที่คุยกันไว้เมื่อคราวก่อน จริงๆ แล้วผมก็อ่านไปสองสามรอบแล้ว เพื่อเป็นการทำการบ้านมาก่อน เพราะเมื่อมาถึงพ่อแล้ว จะต้องอธิบายให้พ่อฟังอีกคร่าวๆ แถมด้วยพ่อต้องถามคำถามที่ผมตอบยากอีกแน่ๆ
พอผมเจอหน้าพ่อ ไหว้พ่อและทักทายเรียบร้อยแล้ว คำแรกที่พ่อถามกลับไม่ใช่เรื่องหุ้นครับ

พ่อ: เออ สวัสดีลูก เป็นไงบ้าง งานที่บริษัท? (พ่อหมายถึงงานประจำของผม)
ผม: ก็ดีครับ บริษัททำงานได้ดี มีกำไรตามควร แต่ก็ลุ่มดอนเล็กน้อยตามสภาพการแข่งขันครับ
พ่อ: อืมม์... ตั้งใจทำงานให้ดีนะ อย่าพะวงเรื่องหุ้นมากนัก พวกนี้เหมือนกับเป็นการออมของเราอย่างหนึ่ง อย่าหวังรวยมากมายด้วยหุ้น เราซื้อหุ้นถือว่าเป็นการออมนะ ไม่ใช่หวังรวยมากมายรวดเร็ว พ่อเห็นมามากแล้ว ไปเล่นหุ้นปั่น วู๊... (พ่อทำเสียงแหลม) เจ๊งไปเยอะ เหมือนพวกเพื่อนพ่อบางคน เตือนก็ไม่เชื่อ แถมเผลอๆมาด่าเราอีกว่าขัดลาภ แต่มันก็เงินเขานี่นะ เราเอาแค่ได้ปันผลมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ชนะอัตราเงินเฟ้อ และก็รักษาต้นทุนไว้ได้ก็พอแล้ว

ผมรู้ว่าพ่อกลัวว่าผมจะกลายเป็นนักเล่นหุ้นไปเสียก่อนโดยไม่สนใจการงาน จริงๆ แล้วทั้งที่พ่อก็รู้ว่าผมเป็นคนรักงาน แต่ก็คงอดกลัวไม่ได้ที่ผมไปเรียน ป.โท เรื่องการจัดการและการเงิน อาจจะกลัวผมร้อนวิชาจนเอาเงินมาเล่นหุ้นหมด หรือเล่นหุ้นปั่นจนเจ๊งหุ้นเหมือนเพื่อนพ่อบางคนไปเสียก่อน เรื่องของการให้เอาใจใส่ในการงานนี้พ่อเน้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานธุรกิจส่วนตัวนอกเวลาของผม หรืองานประจำ เพราะพ่ออยากให้ผมทำตัวให้เป็นประโยชน์ไปด้วย

ผม: ครับพ่อ ผมก็ลงทุนเพื่อเป็นการออมนั่นแหละครับ แล้วไม่เคยเล่นหุ้นปั่น พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ (บอกตรงๆ ผมก็ไม่เล่นหุ้นปั่นหรอก เพียงแต่ว่าบางครั้งเก็งกำไรบ้างเท่านั้น เป็นตัวๆ ไปแต่ด้วยงบประมาณที่น้อย พ่อรู้ก็คงไม่ว่าหรอก)
พ่อ: ไหนเอาอะไรมา เอามาดูกันหน่อย (พ่อพูดถึงเอกสารเกี่ยวกับหุ้นของบริษัท mno ที่พูดถึงสัปดาห์ก่อน) เออ.. แล้วหยิบแว่นให้พ่อด้วยนะ อยู่บนโต๊ะทำงานน่ะ

ผมเดินไปหยิบแว่นบนโต๊ะทำงานของพ่อ ที่มีหนังสือวางอยู่ราวๆ สิบกว่าเล่มแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย พ่อเป็นคนรักษาความสะอาด เรียกว่าเป็นระเบียบสมกับหน้าที่การงานจริงๆ หนังสือที่วางอยู่ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับธรรมะและการใช้ชีวิต พวกปรัชญาและประวัติศาสตร์ก็มีบ้างเหมือนกัน ส่วนหนังสือพิมพ์หรือหนังสือเกี่ยวกับหุ้นนั้น เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีเอาเลย หรือหาได้ยากมาก พ่ออาศัยวิธีการดูหุ้นจากเนื้อแท้ของธุรกิจจริงๆ มากกว่า อาศํยการคุยกับเพื่อน การเดินช็อปปิ้ง (เดินจริงๆ ครับ ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรหรอก บางทีคนที่ไปด้วยก็ถามว่าพ่อมาดูอะไรเนี่ย? พ่อก็บอกว่ามาซื้อของใช้เท่าที่จำเป็น แต่มาแล้วก็ดูๆ หน่อย) พ่อไม่ค่อยซื้อของสุรุ่ยสุร่าย นานๆ จะเห็นพ่อซื้ออะไรที่ไม่ใช่ของจำเป็นสักครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วพ่อไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่จะจ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น อย่างรถยนต์ รถเบนซ์อะไรนี้พ่อก็ซื้อมาใช้ แต่ว่าไม่ใช่ว่าเปลี่ยนบ่อยๆ ตามรุ่นที่ออกมา บางทีพ่อบอกว่า ไม่อยากซื้อของเข้าบ้านมาก เพราะเกะกะบ้าน (ผมก็เห็นจริง เพราะหากของเยอะ บ้านสวยๆ ก็รกไปหมด ดูแลยาก ทำความสะอาดก็ยาก)

นอกเรื่องไปเสียมาก แต่แม้เรื่องที่เล่ามานี้จะไม่เกี่ยวกับหุ้นเท่าไรนัก แต่แสดงให้เห็นได้ว่า การที่เราเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว และมีความรู้รอบตัวที่ดี มีการควบคุมความคิด มีระเบียบวิธีในการคิดและไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้เรามีปัญญาให้การตัดสินใจได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งการลงทุนนะครับ หลายๆ ท่านเคยเปรยไว้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนหลายๆ คน ไม่ได้มีความรู้มากมายทางด้านเศรษฐศาสตร์หรือการเงินเป็นหลักหรอก เพียงแต่เข้าใจพอใช้งานได้ หากแต่มีความเข้าใจในความคิดมนุษย์ โลกที่เปลี่ยนแปลงไป และปรัชญาต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหากเราคิดจริงจังแล้วก็อาจจะเห็นเป็นจริงได้ เพราะหลักการที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้โลกและธุรกิจต่างๆ ดำเนินไปได้ทั้งสิ้น

หลังจากหยิบแว่นตาให้พ่อแล้ว ผมก็มานั่งกับพื้นไกล้ๆ พ่อที่อยู่บนเก้าอี้หนังตัวโปรด แล้วก็ยื่นเอกสารให้พ่อไปทีละชิ้น พ่อหยิบดูชิ้นแรกแล้วก็เริ่มถาม

พ่อ: เอ้า.. นี่อะไรน่ะ ไหนลองสรุปให้ฟังซิ (พ่อพูดถึงเอกสารเกี่ยวกับงบการเงินของบริษัท mno - ชื่อสมมติ - ที่ผมยื่นให้เป็นชิ้นแรก)
ผม: อันนี้งบการเงินนะพ่อ โดยสรุปคือ บริษัทนี้ยังมีหนี้อยู่ เพิ่มทุนไปแล้วครั้งแรกทำให้หนี้สินน้อยลง แต่ยังไม่หมดดี ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มทุนอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ดูไม่ดีนักที่การเพิ่มทุนเป็นเรื่องของการใช้หนี้
พ่อ: อืมม์... แล้วถ้าไม่เพิ่มทุนครั้งที่สอง เมื่อไรจะใช้หนี้หมด พ่อว่า จริงๆ แล้วไม่มีใครเขาเพิ่มทุนกันง่ายๆ หรอกนะ เพราะเจ้าของเดิมก็ต้องเอาเงินมาเพิ่มด้วย ไม่งั้นสัดส่วนการถือหุ้นก็จะน้อยลงไปใช่ไหมล่ะ?
ผม: ใช่ครับ จริงๆ แล้วการเพิ่มทุนก็รบกวนผู้ถือหุ้นเดิมอย่างที่พ่อว่านั่นแหละ ไม่มีใครชอบแน่ๆเลย หุ้นก็เพิ่มขึ้นเยอะ เกิดไดลูทอีก นอกจากกู้ที่ไหนไม่ได้แล้วหรือไม่ค่อยอยากคิดเรื่องการแบกภาระหนี้สินเท่านั้น ถึงดุ่ยๆ เพิ่มทุนเอา
พ่อ: เอางี้ ไหนลองดูซิว่า ถ้าไม่เพิ่มทุน แล้วหนี้ที่มีอยู่มันดอกเบี้ยเท่าไร กำไรที่หาได้ตอนนี้ หรือตอนหน้า ใช้ดอกเบี้ยพอหรือเปล่า นี่เอาแค่ดอกเบี้ยก่อนนะ ยังไม่ต้องใช้เงินต้น (พ่อยิ้มแล้วก็พูดต่อ...) อย่างนี้เจ้าหนี้ยิ้มไปเลย ถ้าได้ดอกเบี้ย
ผม: กำไรก็พอมีนะครับ ราวๆ สักสามสี่เท่าของที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยได้
พ่อ: โห... ไม่ไหวมั้ง ถ้าสักเจ็ดแปดเท่าน่าจะดีกว่านี้เยอะ
ผม: ใช่ๆ แต่อย่างว่าแหละพ่อ เจ้าสินค้านี้มันกำไรไม่มาก จะขึ้นราคาตามใจก็ไม่ได้มียี่ห้ออะไรชักจูงลูกค้าอีก
พ่อ: อืมม์... พวกนี้ขึ้นกับ demand/supply (อุปสงค์/อุปทาน) นั่นแหละ แต่ตอนนี้มันก็ติดที่รัฐอาจจะควบคุมราคาอยู่ ลำบากหน่อย แต่อย่างว่าแหละ ถ้าขึ้นราคาของพวกนี้ตามใจ ประเทศก็แย่ ค่าใช้จ่ายรัฐก็มาก ไม่ดีหรอก เขาก็ต้องควบคุม

ถึงตรงนี้พ่อกำลังสอนผมว่าให้คิดถึงคนอื่นด้วย การที่เราจะรวยคนเดียว ไม่คิดถึงใคร ไม่คิดถึงคนที่เดือดร้อนที่เป็นส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก เรียกว่านอนไม่หลับเต็มตาก็ได้ เพราะเบียดเบียนคนอื่นไว้ แล้วพ่อก็ถามต่อ

พ่อ: แล้ว p/e เท่าไรล่ะ? ในเอกสารเขาบอกไว้ว่าเท่าไร แกว่าเขาคิดถูกหรือเปล่า
ผม: ปีนี้ก็น่าจะราวๆ 20 นะครับ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คือยอดขายและอัตรากำไรเท่าเดิม เพราะดูเหมือนบริษัทไม่ได้วางแผนใช้จ่ายเงินอะไรเพิ่มในระยะนี้ และไม่ได้มีกำไรพิเศษด้วย เขาก็คิดมาไกล้เคียงกับที่ผมประมาณน่ะพ่อ สำหรับปีนี้นะ ปีหน้าไม่รู้จริงๆ มันเป็นเรื่องอนาคต ฮ่าๆๆ (ผมพูดพร้อมกับหัวเราะ)
พ่อ: (พูดสวนมาทันที) เฮ้ย! กำไรพิเศษไม่พูดถึงสิ มันได้กันครั้งเดียว ถ้าไม่ได้มากมายขนาดไปทำอะไรได้ถาวร หรือใช้หนี้ให้หมดไปได้มากๆ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนัก ระยะยาวแล้วพวกนี้ไม่เกี่ยวหรอก
ผม: ใช่พ่อ ได้มาครั้งเดียว บางทีนิดๆ หน่อยๆ เราก็ตื่นเต้นกันไปได้มาก สุดท้ายหลายบริษัทก็กลับไปขาดทุนอีกก็มี ถ้าพื้นฐานของสินค้า บริการ และต้นทุนไม่แน่นพอ จริงๆ แล้วเราเห็นกันได้บ่อยๆ ด้วยซ้ำไป มีเยอะพ่อ พ่อก็เห็น
พ่อ: เออสิ ถึงไม่ต้องไปสนใจมากไง อ่ะ มาดูต่อ แล้วมูลค่าทางบัญชีเท่าไรล่ะ?
ผม: ราวๆ ครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นครับ
พ่อ: (เงียบไปหนึ่งวินาที) อะไรนะ p/e เกือบยี่สิบกับ p/bv เกือบสองเนี่ยนะ ทำไมแพงจัง ราคาอยู่อย่างนี้ได้ไงเนี่ย มีวอลลุ่มหรือเปล่า ซื้อขายวันละมากไหม

พ่อถามตรงนี้เพราะพ่อรู้ว่า โดยทั่วไปหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ ราคาจะขยับไปมาได้มาก แต่หากสภาพคล่องสูง ราคาจะกระโดดไปมาไม่ได้มากนักหากไม่มีโวลลุ่มมาประกอบ อันนี้ว่ากันโดยทั่วไปนะ แต่หากเป็นหุ้นที่มี "ความนิยม" ที่เข้ามาซื้อขายกันมาก หุ้นที่สภาพคล่องสูงๆ ก็อาจจะถูก "พา" ให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปได้มากเช่นกัน

ผม: สภาพคล่องเยอะนะพ่อ เพราะว่าราคาไม่กี่บาท (คนทั่วไปมักเรียกว่าไม่แพง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนละเรื่องกับความถูกหรือแพงของหุ้นตามผลตอบแทน อันนี้พ่อรู้ดีว่าหุ้นราคา 80 สตางค์อาจจะแพงกว่าหุ้นราคาสองร้อยบาทอยู่มากๆ ก็ได้) คนก็เข้ามาซื้อขายเยอะ
พ่อ: แพงไปหน่อยนะ หนี้ก็มี สินค้าก็เป็นของทั่วไป ซื้อของใครก็ได้ถ้าไม่ถึงกับขาดตลาด จะเพิ่มทุนหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ทำไม p/e ยี่สิบนี่ยังมีคนมาซื้ออีก
ผม: อาจจะเก็งกำไรก็ได้นะ
พ่อ: เก็งอนาคตน่ะสิ อย่างนี้ไม่เรียกว่าซื้ออนาคตไปหน่อยหรือ? อนาคตดีขึ้นสองเท่า ยังแพงไปนิดเลย ไม่พูดถึงหนี้ที่เหลือนะ แล้วราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นสองเท่าได้ที่ไหนเล่า นอกจากจะเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ผม: นั่นน่ะสิครับ (ผมพูดพร้อมกับยื่นเอกสารให้พ่ออีกสองสามแผ่น) อาจจะเพราะเจ้านี่ก็ได้ ที่มีนักวิเคราะห์เขาให้ความเห็นว่าราคาเหมาะสมมันอาจจะสูงกว่านี้อยู่เฉียดๆ สองเท่าน่ะ
พ่อ: ไหนดูหน่อย

พ่อหยิบไปอ่าน อ่านแบบอ่านออกเสียงด้วยนะ ดีนะที่พ่อไม่แกล้งอ่านผิดแล้วให้ผมท้วง ประมาณว่าถ้าผมไม่ท้วงแสดงว่าไม่ได้อ่านมาก่อน แต่ขอโทษทีนะพ่อ... เรื่องหุ้นนี่ผมชอบอ่านอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับหนังสือวิชาคำนวณที่พ่อจ้ำจี้จ้ำไชสอนผมตอนผมอยู่ประถมแต่ผมก็ไม่สนใจเพราะห่วงเล่นอยู่หรอก (ตอนนั้นรักก็รักพ่อนะ กลัวก็กลัว เพราะพ่อสอนเอาจริงเอาจัง อันไหนคิดไม่ออก หรือคิดช้าอาจจะโดนดุเอาได้ง่ายๆ) แต่จะว่าไป ผมนี่แหละเป็นหนี้ชีวิตพ่ออย่างทดแทนไม่ได้หรอก แบบว่าจะรีไฟแนนซ์กี่รอบก็คงใช้ไม่หมดครับ ไม่ได้พ่อและแม่ ผมจะได้เรียนดีๆ เป็นผู้คนอย่างนี้ได้อย่างไร (ฮ่าๆๆ ขอยอมรับสภาพหนี้และชดใช้ไปเรื่อยๆ จ้ะ) แล้วพ่อก็ถามผมต่อ

พ่อ: แล้วแกเชื่อไหมล่ะ
ผม: ผมไม่ค่อยเชื่อนะพ่อ เงื่อนไขมันเยอะเหลือเกินที่จะได้อย่างนั้น อีกสองอย่างที่น่าสงสัยแต่ผมยังหาข้อมูลไม่ได้ ก็คือเรื่องการขาดทุนที่ทำให้มีหนี้สินนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และก็อนาคตเรื่องของยอดขายอีก ว่าจะดีอย่างนี้ได้เรื่อยๆ หรือเปล่า
พ่อ: ใช่ๆ อย่างยอดขายเขาบอกว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 50% แล้วกำไร.... (อันนี้พ่อเริ่มคิดในใจแล้ว ราวๆ กับว่าประมาณตัวเลขของกำไรที่จะได้ กับหนี้สินที่มีอยู่ บวกกับดอกเบี้ยอีก แล้วก็พูดต่อ) ราคาหุ้นมันไม่น่าจะขึ้นมาสองเท่าได้ง่ายๆ เลยนะ ยิ่งมีเรื่องหนี้กับความเสี่ยงเรื่องเพิ่มทุนอีก แล้วราคามันจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าง่ายๆ ได้ไง
ผม: นั่นน่ะสิพ่อ ผมว่านะ เราคอยดูหุ้นตัวนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ อย่าเพิ่งรีบซื้อมันเลย
พ่อ: อืมม์ พ่อก็ว่างั้นแหละ ก็ไม่เป็นไร ดีแล้วที่เราได้มาดูตัวเลขพวกนี้ แกเอาเอกสารนี่ไว้ให้พ่อก่อนก็แล้วกัน
ผม: ได้พ่อ พ่อเอาไว้เถอะ ไว้อ่านเล่นๆ ผมหาได้จากอินเทอร์เน็ตอยู่แล้วครับ

นับจากวันที่ผมได้ดูหุ้นตัวนั้นกับพ่อ จนถึงวันนี้ หุ้นตัวนั้นราคาตกลงมากว่า 20% และเคยตกต่ำสุดไปถึงกว่า 30% และยังไม่ไกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์ได้บอกไว้เลย

วันหนึ่งผมนั่งดูทีวีอยู่กับพ่อ ในวันที่ไปเยี่ยมตามปกติ ผมก็ชวนพ่อคุยเรื่องหุ้นตัวหนึ่ง เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดค่อนข้างใหญ่ สภาพคล่องปานกลาง ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองและส่งออกขายยังต่างประเทศด้วย ประกอบกับผมเคยพบผู้บริหารของบริษัทนี้ ซึ่งทีแรกแล้วดูเหมือนว่าเป็นเพียงบริษัทครอบครัว (ก็เป็นบริษัทครอบครัวจริงๆ นั่นแหละ) แต่ก็มีบางอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของการพยายามพัฒนาคนในครอบครัวให้มีความรู้เรื่องธุรกิจเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ เรื่องราวของการซื้อหุ้นตัวนี้ ได้ให้ข้อคิดทางด้านเทคนิคกับผมบางอย่าง (ไม่ใช่เทคนิคอลนะครับ ผมยอมรับว่าไม่สันทัดเรื่องนั้น)

ผม: พ่อสนใจหุ้นของบริษัท jkl (ชื่อสมมติครับ อย่าไปตามหานะ) บ้างหรือเปล่า?
พ่อ: อืมม์... เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่แน่ใจว่าทำอะไร
ผม: ก็ทำ - - - (ขออนุญาตเว้นไว้ครับ ถ้าบอกไปจะเป็นการบอกบริษัท) ครับ ตอนนี้มีโรงงานใหญ่มาก ส่งออกไปหลายประเทศด้วย และกำลังขยายตลาดเพิ่มอีก เพื่อส่งออกไปหลายประเทศมากขึ้นด้วยครับ
พ่อ: ไหนเอาข้อมูลมาดูหน่อยสิ ตอนนี้ราคาเท่าไร กำไรดีไหม ที่ผ่านๆ มา แล้วก็อนาคตน่าจะเป็นอย่างไร โบร๊กเกอร์แกมีข้อมูลอะไรบ้าง

พ่อรัวถามเป็นชุด
แต่ด้วยความที่พ่อเป็นพ่อผมมาสามสิบกว่าปี ผมเลยรู้ทัน ผมหยิบข้อมูลที่พิมพ์มาอ่านเล่น (เผื่อพ่อไม่สนใจ - ก็กะว่าจะซื้อเองล่ะ) ตอนไปคุยกับพ่อยื่นให้

ผม: แหะๆ นี่ครับ รู้แล้วว่าพ่อต้องถาม
พ่อ: ถามสิฟะ จะซื้ออะไรลงทุนอะไร ก็ต้องดูตาม้าตาเรือบ้าง ต้องศึกษาให้ดี เราไม่ดูถูกเงินนะลูก ไอ้ซื้อส่งเดชน่ะไม่ได้กลัวขาดทุนนะ แต่ไม่อยากมาเจ็บใจทีหลังว่าไปซื้ออะไรก็ไม่รู้ต่างหาก

พ่อให้ความสำคัญใน "วิธีการ" และ "หลักการ" ในการที่เราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ดูแต่ที่ผลของมันเพียงอย่างเดียว โดยเชื่อว่าถ้าเรามีหลักการ วิธีการที่ถูกต้องและทันกับกาลสมัย เราจะต้องได้ผลงานที่ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ เราต้องการกำไรทั้งจาก Capital Gain และจากเงินปันผล แต่ถ้าเราเลือกไม่ดี ก็จะทำให้เราเสียโอกาสได้ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเราลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่
ผมพูดต่อ

ผม: เงินปันผลเท่าที่ผ่านๆ มาก็อยู่ในระดับ 6-7% เทียบกับราคาตอนนี้ และดูว่าจะเติบโตได้ในอนาคตไปอีก ราคาหุ้นตอนนี้ p/e ต่ำกว่าสิบอยู่พอสมควร และมีเงินสำรองในการทำงานมาก ผู้บริหารมีความรู้ดีในกิจการ และถือหุ้นใหญ่คงไม่หนีไปไหนแน่ๆ มูลค่าหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีก็ไม่ถึงสองเท่าครับ
พ่อ: อืมม์.. แล้วโบร๊กเกอร์ให้ Fair Price เท่าไรล่ะ (พ่อจะเรียกว่า Fair Price แทนคำว่า Target Price ซึ่งผมก็ออกจะเห็นด้วย เพราะ Target ที่ว่านั่น ฟังดูแล้วเหมือนว่าต้องมีใครมา "ทำ" ให้มันถึงราคานั้นมากกว่าด้วยพื้นฐานของมันเอง)
ผม: ก็ขึ้นไปได้อีกราวๆ 20% จากราคาตอนนี้ครับ
พ่อ: แล้วแกว่าไง? เขาวิเคราะห์ไว้ถูกหรือเปล่า
ผม: ก็ไกล้เคียงนะ เราก็ซื้อไว้บ้างก็ได้นี่ครับ ยังไงๆ ปันผลก็มากกว่าดอกเบี้ยธนาคารอยู่และมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดูแล้วปัจจัยที่จะมากระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทก็ไม่น่าจะมากนัก ถึงจะมีก็คงไม่ทำให้ถึงกับขาดทุน และดูจากที่สามารถเติบโตได้อีก ก็น่าจะลองดูได้
พ่อ: อ้ะ ลองดู ยังไงๆ ก็ยังมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง พ่อชอบของที่มีผลิตภัณฑ์เพราะมันจับต้องได้น่ะ แล้วก็เป็นของที่ต้องกินต้องใช้เสียด้วย ลองดูๆ

ผมไม่ได้คุยกับพ่อสองสามวันในระหว่างสัปดาห์ วันหนึ่งพ่อโทรศัพท์เข้าโทรศัพท์มือถือผม แล้วบอกว่าได้เริ่มซื้อหุ้นนั้นแล้ว ไอ้คำว่าลองของพ่อที่คุยกันไว้น่ะ มันไม่น้อยเหมือนกัน ผมมารู้ทีหลังยังตกใจ จริงๆ แล้วเป็นความผิดของผมเหมือนกันที่ว่าไม่ได้วางแผนการซื้อให้พ่อด้วย เพียงแต่บอกว่าให้ซื้อที่ราคาไม่เกินเท่าไรเท่านั้น แต่หลังจากวันแรกที่เข้าไปซื้อหุ้นนั้น มันก็ตกลงมาเรื่อยๆ ชนิดที่เรียกว่าทรงกับทรุด แต่ไม่ทรุดมากนะ เรียกว่าทรุดทีละนิดๆ ให้คอยกังวล จนวันหนึ่งผมไปหาพ่อ เราก็คุยกันเรื่องนี้

ผม: พ่อจะขายหุ้น jkl ออกไปก่อนหรือเปล่าครับ แล้วเราค่อยรับกลับมา (ผมยังคงมั่นใจในการดำเนินการของบริษัทนี้ ถ้าเราขายหุ้นนี้ ซึ่งสำหรับเราถือว่าเป็นหุ้นลงทุนออกไป เราจะต้องรับกลับมา ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับเสียของและขาดทุนไปเปล่าๆ)
พ่อ: เฮ้ย ขี้เกียจขาย เก็บมันไว้ก่อน เดี๋ยวลงมาแล้วซื้ออีกหน่อย
ผม: เอางั้นหรือพ่อ (คิดในใจว่าเป็นงั้นไปได้ไงฟะ ผมมาชวนขายขาดทุนแท้ๆ)
พ่อ: เอางั้นแหละ ก็ถ้ามันยังได้กำไรเรื่อยๆ มีปันผล พ่อไม่ขายทิ้งหรอก ขายไปเดี๋ยวขาดทุนฟรี ตอนซื้อกลับไม่ทัน แล้วถ้าราคามันต่ำลงมา แสดงว่าปันผลต่อราคาจะต้องมากขึ้นไม่ใช่หรือ?
ผม: ก็ใช่นะพ่อ เดี๋ยวเราดูมันไปก่อน อย่าเพิ่งซื้อ

หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ เจ้าหุ้นนั้นมันก็ตกต่ำมาต่อเนื่อง ผมเจอพ่ออีกที พ่อทักทายอารมณ์ดีตามปกติ คุยกันสัพเพเหระ ได้ที่ (ไม่ใช่เมานะครับ) พ่อก็ถามว่า

พ่อ: เฮ้ย! เจ้าหุ้น jkl ทำไมราคามันหล่นมาเรื่อยๆ อย่างนี้ฟะ แกไปหาข้อมูลมาหน่อย จะกำไรขาดทุนน่ะมันไม่เท่าไรหรอก ไม่ขายก็ยังไม่ได้ขาดทุนอะไร แต่ไม่รู้เหตุผลแบบนี้ทำให้เป็นทุกข์นะ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "อวิชชา" คือความไม่รู้ ความไม่รู้ทำให้เป็นทุกข์
ผม: รู้แล้วล่ะพ่อ เพราะว่าเจ้าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีตลาดต่างประเทศเยอะ รายได้ก็ว่ากันเป็นดอลล่าร์ พอเงินไทยแข็งขึ้น คนก็คงกลัวว่ารายได้จะน้อยลง
พ่อ: แล้วมันจะน้อยลงจริงหรือเปล่า รายจ่ายล่ะ จ่ายเป็นเงินไทยหรือไง
ผม: เปล่าครับ วัตถุดิบก็เป็นดอลล่าร์เหมือนกัน แถมยังมีการประกันค่าเงินไว้อีกส่วนหนึ่ง
พ่อ: อ้าว งั้นก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่นา เอางี้ แสดงว่าที่กลัวๆ กันก็เป็นเพราะเรื่องค่าเงิน ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าจะกระทบมากนัก ยังไงก็ไม่ถึงกับขาดทุนหรือกำไรลดจนจ่ายปันผลไม่ได้ใช่ไหม จะขายตอนนี้ก็ขาดทุนเยอะ ถ้างั้นถือเฟ้ยถือ เดี๋ยวซื้อเพิ่มอีกหน่อย
ผม: ... (ยังไม่รู้จะพูดว่าไง ยอมรับว่าคิดไม่ทัน... ฮ่าๆๆ)

ผมไม่เจอพ่ออีกหนึ่งสัปดาห์ พอมาพบกันอีกครั้งหนึ่งพ่อก็บอกว่าพ่อซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่มที่ราคาต่ำกว่าเดิมราวๆ 15%

พ่อ: พ่อซื้อเจ้า jkl เพิ่มมาอีก . . . หุ้นนะ เก็บๆ เอาไว้
ผม: อ้าว! ซื้อแล้วหรือพ่อ อ่ะ ไม่เป็นไรครับ คงไม่เสียหายหรอก ที่แน่ๆ บริษัทมีกำไรและไม่เจ๊งแน่นอน คิดง่ายๆ เดี๋ยวเราถือรับปันผลเล่นๆ แล้วพอมันเด้งขึ้นมาเท่าทุน เราขายทิ้งก็เท่ากับได้ปันผลฟรีๆ
พ่อ: เอาน่า ดูมันสักพัก ให้โอกาสหน่อย เห็นโตมาได้ตั้งนานนี่นาตามที่แกบอก พื้นฐานบริษัทจะดีเลวมันไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแค่ข้ามวันหรอก มันต้องใช้เวลา อาจจะนานเป็นปีๆ ก็ได้ หุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ นี่เป็นการคาดการณ์อนาคตและซื้อขายอนาคตกันนานๆ บางทีนานเกินไปมากด้วย
ผม: ก็จริงนะพ่อ เห็นราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลงแต่ละวันแล้วปวดหัว เรียกว่าไม่ได้เป็นไปตามพื้นฐานของมันเลย ธุรกิจอะไรจะเปลี่ยนสภาพได้เร็วขนาดนั้น วิ่งตามข่าวชัดๆ เพราะข่าวไม่ต้องใช้เวลา...

เราถือหุ้นตัวนั้นไว้ จนจ่ายปันผลรอบครึ่งปีมาหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านั้น หุ้นราคาตกต่ำสุดลงไปกว่า 30% ของราคาแรกที่เราเข้าซื้อ แต่ว่าเราวางแผนที่จะซื้อหุ้นนี้ในจำนวนเงินหนึ่งๆ จึงไม่ได้เข้าซื้อเพิ่มเติมอีก ปันผลที่ได้ก็เอาเข้าธนาคารแล้วก็ไม่ได้สนใจหุ้นนี้อีกเลย แล้วราคาก็กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ผมนึกในใจว่า ถ้าวันที่หุ้นตกลงมากว่า 30% นั้น เรายังมีงบประมาณสำหรับหุ้นตัวนี้อยู่ ผมคงต้องบอกให้พ่อซื้อเพิ่มแน่นอน แต่เมื่อเราได้ซื้อมันตามงบประมาณแล้ว ก็จะไม่ซื้อเพิ่มอีก จนราคาหุ้นตัวนี้ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเท่าๆ กับราคาทุนเฉลี่ยที่ซื้อเข้ามา เท่ากับได้ปันผลมาฟรีแล้ว โดยใช้เวลาไม่นานนัก สุดท้ายเราก็รู้ว่าเราคิดไม่ผิด และรู้ดีว่าการรอ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในหลายขณะ ตลอดจนสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการซื้อหุ้นตัวนี้ก็คือการที่เราวางกลยุทธ์การเข้าซื้อไม่ดีพอ นับว่าเป็นเรื่องที่ผมกับพ่อต่างกันเอามาก เพราะผมจะวางแผนการเข้าซื้อในคนละลักษณะกับพ่อ (โดยเป็นการทะยอยเข้าสะสมในลักษณะกึ่งพื้นฐาน โดยซื้อจำนวนมากขึ้นๆ ที่แนวรับทางพื้นฐานและผลตอบแทน) แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อไม่มีโอกาสรู้ราคาเคลื่อนไหวของหุ้นอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับผม แต่ข้อเสียนั้นกลับกลายเป็นข้อดีได้ในหลายโอกาส เพราะการที่ไม่ต้องจับจ้องกังวลอยู่ทุกๆ วันนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

LOU SIMPSON'S INVESTMENT PRINCIPLES

Lou Simpson manages his portfolio according to five basic principles. He outlined these timeless principles in GEICO’s 1986 annual report, and he explained them at greater length in an interview with the Washington Post the following year:

1. Think independently. We try to be skeptical of conventional wisdom, he says, and try to avoid the waves of irrational behavior and emotion that periodically engulf Wall Street. We don’t ignore unpopular companies. On the contrary, such situations often present the greatest opportunities.

2. Invest in high-return businesses that are fun for the shareholders. Over the long run, he explains, appreciation in share prices is most directly related to the return the company earns on its shareholders’ investment. Cash flow, which is more difficult to manipulate than reported earnings, is a useful additional yardstick. We ask the following questions in evaluating management: Does management have a substantial stake in the stock of the company? Is management straightforward in dealings with the owners? Is management willing to divest unprofitable operations? Does management use excess cash to repurchase shares? The last may be the most important. Managers who run a profitable business often use excess cash to expand into less profitable endeavors. Repurchase of shares is in many cases a much more advantageous use of surplus resources.

3. Pay only a reasonable price, even for an excellent business. We try to be disciplined in the price we pay for ownership even in a demonstrably superior business. Even the world’s greatest business is not a good investment, he concludes, if the price is too high. The ratio of price to earnings and its inverse, the earnings yield, are useful guages in valuing a company, as is the ratio of price to free cash flow. A helpful comparison is the earnings yield of a company versus the return on a risk-free long-term United States Government obilgation.

4. Invest for the long term. Attempting to guess short-term swings in individual stocks, the stock market, or the economy, he argues, is not likely to produce consistently good results. Short-term developments are too unpredictable. On the other hand, shares of quality companies run for the shareholders stand an excellent chance of providing above-average returns to investors over the long term. Furthermore, moving in and out of stocks frequently has two major disadvantages that will substantially diminish results: transaction costs and taxes. Capital will grow more rapidly if earnings compound with as few interruptions for commissions and tax bites as possible.

5. Do not diversify excessively. An investor is not likely to obtain superior results by buying a broad cross-section of the market, he believes. The more diversification, the more performance is likely to be average, at best. We concentrate our holdings in a few companies that meet our investment criteria. Good investment ideas--that is, companies that meet our criteria--are difficult to find. When we think we have found one, we make a large commitment. The five largest holdings at GEICO account for more than 50 percent of the stock portfolio.

Buffett, also quoted by the Washington Post, Lou has made me a lot of money. Under today’s circumstances, he is the best I know. He has done a lot better than I have done in the last few years. He has seen opportunities I have missed. We have $700 million of our own net worth of $2.4 billion invested in GEICO’s operations, and I have no say whatsoever in how Lou manages the investments. He sticks to his principles. Most people on Wall Street don’t have principles to begin with. And if they have them, they don’t stick to them.





Note: Simpson’s (GEICO) and Lynch’s (Fidelity Magellan) returns are before tax and before management fees, and are stated as a return on equity. Lynch’s returns are before a 3% load to buy into the fund. Berkshire’s returns are after tax and after management fees, and are stated as increases in book value, not market price. The S&P 500 returns are before tax and before management fees, and include reinvested dividends.

จากหนังสือ The Warren Buffett CEO

วันจันทร์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สภาพคล่องทางการเงิน

ช่วงนี้ผมต้องการใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนทำอะไรบางอย่าง เนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ชอบเก็บเงินสดไว้ในแบงค์ทำให้ผมลำบากมากๆในการหาเงิน แต่ผมโชคดีที่หุ้นจัดว่าเป็นทรัพย์สินที่เปลี่ยนรูปมาเป็นเงินได้ง่ายมาก เพราะถ้าขายวันนี้อีก3วันทำการ(T+3)ระบบATSก็จะจัดการเอาเงินเข้าบัญชีธนาคารให้ ทำให้ผมสามารถบริหารเงินได้อย่างไม่ติดขัดนัก ส่วนที่ดินที่ผมมีขนาดตกลงดำเนินการอย่างราบรื่นยังใช้เวลานานมากๆตอนนี้ผ่านไปเกือบๆ2อาทิตย์ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่เลย ส่วนสุดยอดทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงมากที่สุดคือทองคำครับ ขายปุ๊บได้เงินปั๊บแต่เก็บไว้กับตัวก็เป็นอันตรายเหมือนกัน(ผมไม่เคยซื้อทองครับ ไม่ค่อยชอบเก็บของมีค่าไว้กับตัว ถ้าไปซื้อในกองทุนทองคำค่อยน่าสนหน่อย) ส่วนเหตุผลที่ผมไม่ชอบเก็บเป็นเงินสดเพราะกลัวเอาไปใช้หมด และไม่อยากเสียโอกาสที่จะทำให้เงินงอกเงยครับ(ข้อนี้สำคัญกว่า)

ปล.ช่วงนี้ไม่ได้มาเขียนบล็อกเลย ไว้จะพยายามหาเวลาว่างมาเขียนบ่อยๆนะครับ

วันเสาร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

คนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้น

"คนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้น" ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ เพราะคนที่รู้ว่าผมเล่นหุ้นจะนึกว่าผมรวย แต่จริงๆแล้วผมไม่มีเงินมากมายหรอก ที่ซื้อหุ้นเพราะอยากเริ่มสร้างอนาคตและปูทางสู่อิสรภาพทางการเงิน

ช่วงหัวค่ำของวันที่15กพ.50 ขณะที่ครอบครัวของผมนั่งทานอาหารอีสานกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีพ่อค้าขายฉลากกินแบ่งรัฐบาลเข้ามาขายที่โต๊ะของผม พ่อผมก็มองหาเลขที่ต้องการ แม่ก็พูดขึ้นมาว่า"เก็บเงินให้กานต์(ชื่อเล่นผม)เอาไปซื้อหุ้นดีกว่า" ผมก็ยิ้มๆแล้วมองไปที่คนขายแต่ไม่ได้คิดอะไรนะครับ เมื่อพ่อผมซื้อเสร็จผมจึงถามว่า"ซื้อไปเท่าไหร่" พ่อตอบว่า"95บาท" ผมเลยพูดกับพ่อ,แม่และน้องชายว่า"งั้นสมมติว่าเราเอาเงิน95บาทนี้ไปซื้อหุ้น หุ้นอะไรดี? เอาเป็นปตท.สผ(pttep)แล้วกัน ไม่รู้ว่าราคาวันนี้เท่าไหร่นะ เอาเป็นว่าซื้อที่95บาทจำนวน1หุ้นแล้วกัน แล้วมาดูผลกัน"

อย่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ในเรื่องของความเสี่ยงที่ผมเปรียบเทียบหุ้นกับการพนัน คราวนี้เราลองมาคิดดูดีกว่าว่าหุ้นกับฉลากกินแบ่งรัฐบาลอะไรจะดีกว่ากัน
ราคา95บาทเท่ากัน ถ้าขาดทุนหมดตัวก็หมดที่95บาทเท่ากัน แต่หุ้นสามารถนำไปขายตัดขาดทุนได้นะครับ แต่ฉลากกินแบ่งฯจะขายตัดขาดทุนได้อย่างไร ถ้าไม่ถูกรางวัลใครจะมาซื้อต่อล่ะ
เวลาในการที่เราจะได้ลุ้นถึงแค่วันที่1มีนาคม50สำหรับฉลากกินแบ่ง แถมยังไม่สามารถขายต่อได้(ซื้อแล้วซื้อเลย)ถ้าไม่ถูกรางวัลมูลค่าของฉลากใบนั้นจะกลายเป็นศูนย์ แต่ถ้าถูกรางวัลใหญ่ๆก็รวยได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหุ้นซื้อวันนี้ขายวันนี้ก็ได้ เวลาให้การลุ้นให้หุ้นขึ้นมีตลอดชีวิต(ของบริษัท)แถมมีเงินปันผลให้อีกทุกๆปี เก็บเป็นมรดกได้ด้วยนะเนี่ย

เราตีความหมายของการซื้อหุ้นและฉลากกินแบ่งฯกันดีกว่า
การที่เราซื้อหุ้นปตท.สผ.เป็นการที่เรานำเงิน95บาทไปแลกสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)จำนวน1หุ้น มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินปันผลและออกเสียงโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ส่วนการซื้อฉลากกินแบ่งฯ เป็นการที่เรานำเงินไปซื้อสิทธิ์ในการลุ้นรางวัลในงวดนั้นๆ
ส่วนโอกาสที่จะโชคดีถูกรางวัลนั้นคงไม่ต้องพูกถึงนะครับ คงทราบกันดีว่ายากมากๆ แค่เลขท้าย2ตัว(โอกาสถูกง่ายที่สุด)ยังมีแค่1%
(บางคนอาจจะบอกว่าตั้ง1%ก็ไม่ผิด)

เอาเป็นว่ารอดูแล้วกันว่าระหว่างฉลากของพ่อกับหุ้นpttepใครจะชนะ(แต่ขอให้ฉลากใบนั้นชนะแล้วถูกรางวัลที่1แล้วกัน^_^)

ส่วนคนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้นผมขอเปลี่ยนเป็นเล่นหวยแล้วเป็นคนจน เล่นหุ้นแล้ว(อาจจะ)เป็นคนรวย

ปล.พ่อผมซื้อเลขอะไรหว่า?

วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ศัตรูตัวฉกาจของเงินออม

หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับคนหลายๆคน ทำให้ผมได้ทราบว่าคนไทยมักจะมองข้ามการลงทุนไป(ผมเดาว่าไม่ได้ออมด้วย) บางคนคิดว่าไม่มีเวลาบ้าง มีเงินน้อยบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บางคนคิดมีเงินเดือนเยอะอยู่แล้ว และบางคนถามผมว่าคิดไกลเกินไปรึเปล่า?

ตอนนี้ผมได้ศัตรูตัวแรกแล้ว นั่นก็คือตัวของพวกคุณเอง(ผมหวังว่าคนที่เข้ามาอ่านคงจะไม่คิดแบบข้างบนนะ) เพราะแค่พวกคุณปิดกั้นด้วยข้อแก้ตัวเหล่านั้นคุณจะไม่มีวันได้พบกับอิสรภาพทางการเงิน เอาล่ะผมไม่อยากพูดถึงศัตรูตัวนี้สักเท่าไหร่นักไปพูดถึงตัวอื่นๆดีกว่า แล้วศัตรูตัวนี้อาจจะกลับใจได้

ตัวที่สองคือสังขารของพวกคุณ ทุกๆคนย่อมมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ยิ่งแก่กับเจ็บนะครับค่าใช้จ่ายแพงมาก(นี่คือสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มรพ.มีpeที่สูงมาก) เอาแค่นี้ก็พอนึกภาพกันออกนะครับว่าโรคบางโรคทำให้เงินที่คุณหามาทั้งชีวิตหายไปได้ นี่ยังไม่นับญาติของคุณที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เหมือนคุณ แน่นอนว่าคุณต้องหาเงินมาช่วยอยู่แล้ว

ตัวที่สามครับน่ากลัวที่สุด เพราะทุกคนมองไม่เห็นและมันร้ายขึ้นทุกวัน มันคือเงินเฟ้อครับ
คงจะมองไม่ภาพกัน ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ สมัยพ่อผมเด็กๆใครพกเงินไปโรงเรียนสัก5บาทนี่ก็ถือบ้านรวยแล้วนะครับ กินข้าว กินก๋วยเตี๋ยวได้สบายๆ แถมยังเหลือไว้กินขนมและหยอดกระปุกได้อีก แต่ปัจจุบันครับซื้อเลย์ยังไม่ได้เลยครับ ย้ำว่าเลย์ถุงเล็กๆ ที่มีขนมในซองไม่ถึงครึ่งซอง*_* เอาล่ะถ้ามองโลกในแง่ดีก็ยังซื้อมาม่ากินได้ครับพออยู่ท้อง
นั่นคือความน่ากลัวในระยะยาวซึ่งทุกคนคงไม่เห็นภาพชัดพอ
วันนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ระหว่าง0.5-4.25 คนส่วนใหญ่จะได้เรทที่0.75 ส่วน4.25อ่ะมีkbankรายเดียวครับซึ่งน่าจะต้องมีรายละเอียดอะไรพิเศษ ผมตีดอกเบี้ยสำหรับฝากออมทรัพย์ที่ 1.5%ต่อปีแล้วกัน ถ้าคุณมีเงิน100บาท ปีถัดไปคุณคิดว่าเงินในบัญชีจะเป็นเท่าไหร่? 101.5? คำตอบคือไม่ใช่ครับ คุณโดนหักค่าธรรมเนียมแน่นอนแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ผมยังหยวนๆให้คุณมีเงินเป็น101.5 บาท แต่คุณรู้อะไรรึเปล่าว่าเงิน101.5บาทมีค่าลดลง งงล่ะสิ!
คุณรู้รึเปล่าว่าปีที่ผ่านมาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์?
เท่าที่ผมทราบว่านะครับ ประมาณ3.5%ได้ นั่นหมายถึงของใช้จะราคาแพงขึ้น3.5% แต่คุณกลับได้ดอกเบี้ยแค่1.5% เท่ากับคุณติดลบ2%
สมมติคุณอยากซื้อเสื้อ100บาท ปีหน้าราคามันกลายเป็น103.5บาท แต่คุณมีเงินแค่101.5บาท คุณต้องหาเงินมาเพิ่มอีก2บาท
แต่ถ้าคุณยังบอกว่าคุณเอาเงินเดือนมาซื้อก็ได้ คุณคิดผิดครับ เพราะเงินเฟ้อจะทำให้ทุกอย่างแพงขึ้น ต้นทุนราคาแพงใครๆก็ต้องเพิ่มราคาขายทั้งนั้นครับ และอย่ามั่นใจว่าคุณจะมีเงินเดือนใช้ไปเรื่อยๆนะครับ เพราะต่อให้เรียนมาสูงๆก็ตกงานได้ครับ
ถ้าย้อนกลับไปปี39 บางคนมีเคยเงินเดือนถึง50,000บาท โบนัส12เดือน แต่พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทจำนวนมากต้องลดเงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน 50,000เหลือ10,000บ้าง ไม่มีโบนัสอีก ใครโชคร้ายก็ถูกไล่ออกครับ นี่เป็นเหตุการณ์จริงซึ่งไม่ต้องเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่บริษัทของคุณอาจจะสู้คู่แข่งไม่ได้ก็ต้องปิดตัวไปอยู่ดี หรือมีคนที่เก่งกว่าคุณเข้ามาทำงาน เขาคงไม่เก็บคุณไว้ดูเล่นแน่นอน
นี่แค่ผลระยะสั้นนะครับ ถ้าคุณติดลบ2%ไปเรื่อยๆทุกๆปีทบต้นสัก5-10ปีก็แย่แล้วครับ

ขอโทษทีนะครับที่เรื่องค่อนข้างเครียดแต่มันเป็นที่ควรจะรู้เพื่อความไม่ประมาท

ต่อครับตัวต่อมาดอกเบี้ยเงินกู้ครับ ใครที่ผ่อนบ้านอยู่กรุณาช่วยนำใบผ่อนชำระมาดูด้วยครับ จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยทบต้นครับ(ที่บ้านผมดอกเบี้ยสูงกว่าเงินต้นจริงๆ) กู้มาซื้อบ้านซื้อรถผมเห็นด้วยนะครับ ถือเป็นลงทุนที่ดี เพราะยิ่งจ่ายสัดส่วนที่เราเป็นเจ้าของก็จะเพิ่มขึ้น(แต่อย่าลืมว่าถ้ายังผ่อนอยู่ คุณยังไม่มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ และถ้าไม่มีเงินจ่ายคุณจะถูกยึดบ้าน,รถ)
ดอกเบี้นเงินกู้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็นดอกเบี้ยที่โหดที่สุด(จำไว้ว่าถ้าคุณมีหนี้หลายทางและจ่ายได้ไม่หมด คุณต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิตก่อน ค่าบ้านกับค่ารถไว้ทีหลัง) เพราะดอกเบี้ยสูงถึง20% และที่สำคัญเวลาที่คุณจ่ายขั้นต่ำไปเค้าไม่ได้คิดดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระ แต่คิดจากยอดที่ใช้ เช่นคุณรูดไป5,000บาท คุณชำระหนี้ไป4,500บาท เหลือ500บาท คุณนึกว่าเค้าคิด20%จาก500 แต่ไม่ใช่ครับ เค้าคิดจาก5,000บาท น่ากลัวมากๆครับ

เท่าที่ผมนึกได้ตอนนี้ก็มีแค่นี้ครับ(คงมีอีกแต่เวลาผมเขียนบล็อกผมมักจะเขียนสดครับ ได้อารมณ์มากกว่า แต่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วครับสำหรับการที่จะรักษามูลค่าของเงิน)
*อัตราดอกเบี้ยนำมาจากเวบของbot(ธนาคารแห่งประเทศไทย)ครับ