แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ power แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ power แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

The day the stadium spoke

Brand: NIKE
Agency: BBDO Argentina




JULY 2011, BOCA JRS REPUBLIC
THE DAY THE STADIUM SPOKE
Hi there.
Sorry to intrude.
How are you?
Finally I have you all here without a huge crowd in the stands.
For some time I’ve been wanting to say something
and this is a good moment.
Another championship will begin
and though some are happy seeing our historic enemy playing in the second devision.
I won’t.
Today, I want to talk to you about the only thing that’s left when… we die.
Something worth more than all you money
but can’t be stolen.
Today I want to talk about Glory.
Glory is not easy to achieve.
You won’t find it on sale.
It comes at blood, sweat and tears.
And you don’t give it away to just anybody.
But the one thing I’ve learned is that miracles needto be built.
Work,
sweat,
persist,
vomit, and run until your legs give out.
Leave your life on the field
for the fans that support you every sunday.
They know sacrifice
and would for you
… but they can’t, because they’re on the other side.
Because they are NOT you.
You would have to be blind not to see that
everyone want to play here.
But here we don’t play.
We do battle and defend our colors.
Let’s fight together and make history!
Give me your heart and when you can’t go on
I’ll carry you!!
We can be invincible again!!
Be strong guys!!
Come on BOCA, GO BOCA!!!

วันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

Reflexivity

บทความนี้เป็นการสรุปความเข้าใจของผมต่อแนวคิดของโซรอส ซึ่งผมได้ลองถามพี่ต้าน MudleyGroup เพื่อยืนยันว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่


ปลาหมึก
คือผมสนใจความคิดของ Soros มาระยะนึงแล้ว ตอนอ่าน the new paradigm for financial market และบทความต่างๆ ผมก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่
อาจจะเพราะเป็นทั้งภาษาและเป็นแนวคิดที่ต่างจากเศรษฐศาสตร์ในตำราทั่วไปหรืออะไรก็แล้วแต่

ตอนนี้ผมคิดว่าความเข้าใจของผมน่าจะมีเพิ่มขึ้นมาบ้าง จึงอยากจะถามดูครับว่าผมเข้าใจถูกต้องรึเปล่า และเข้าใจในระดับไหน

อย่างแรกเรื่องคือ ตลาดไม่มีความสมบูรณ์แบบ เนื่องมาจากตลาดเคลื่อนไหวจาก action ของคน และคนมีการรับรู้ที่ผิดพลาดอยู่แทบจะตลอดเวลา
ในบางกรณีเช่นความคาดหวังต่ออนาคต มันเป็นการทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่มีอะไรบ่งบอกได้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่จะขึ้นนั้นต้องเป็นผลรวมมาจาก action ของคนทุกๆคน
ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะรู้ว่าคนทุกๆคนจะทำอะไร อาจจะมีบ้างที่มีกลุ่มคนที่มีอิทธิพลสามารถชี้นำได้ แต่ไม่ทั้งหมด

จากการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนส่งผลให้เกิด action ที่ผิดเพี้ยนเช่นกัน ดังนั้นตลาดจึงเกิดภาวะฟองสบู่เป็นระลอกๆ อยู่ที่ว่าจะเป็นฟองสบู่ในรอบเล็กๆเช่นระยะปี หรือรอบใหญ่ๆเช่นระยะสิบๆปี โดยฟองสบู่ที่ใหญ่เป็นการสะสมความผิดพลาดต่างๆจากเล็กๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง มันจึงสะสมเป็นลูกใหญ่

ในระยะยาวจะมีการปรับสมดุลอยู่ตลอดเวลา เช่นเมื่อ ราคา วิ่งหนี ปัจจัยพื้นฐานไปมากๆ จะต้องมีการปรับสมดุลเกิดขึ้น เช่นมีคนรับรู้ความจริงว่าตอนนี้ราคามันเป็นฟองสบู่แล้วก็จะเกิด action สวนทางกลับมายังพื้นฐานของมัน แต่แน่นอนว่าตลาดไม่สมบูรณ์แบบ action อาจจะแรงเกินไปทำให้ลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากเป็นการ action จากคนจำนวนมากที่มีทั้งรู้ข้อมูลจริงและไม่รู้ข้อมูลจริง จนเมื่อถึงเวลาหนึ่งจะมีคนรับรู้อีกว่า ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน จะมีการ action ย้อนกลับขึ้นไปอีกครั้ง

ส่วน reflexivity ตามความเข้าใจของผมคือ
1.ตลาดสะท้อนปัจจัยและข้อมูลต่างๆออกมา (ซึ่งข้อนี้เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปอยู่แล้ว)
2.ตลาดมีอิทธิพลส่งผลสะท้อนกับไปยังปัจจัยและข้อมูลต่างๆด้วย

จากข้อ2 แปลว่าการรับรู้ของคนเรานั้น(ความคิด) เมื่อไปทำให้ตลาดเกิด action มันจะสามารถสะท้อนไปยังปัจจัยต่างๆ(ความจริง)ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามได้ แม้ว่าจะเป็นการรับรู้มาแบบถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม
เช่นถ้าเกิดราคาสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้น มันจะส่งผลมายังผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย ปัจจัยต่างๆจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตามราคาได้

ไม่แน่ใจนะครับว่าผมเข้าใจได้ถูกหรือผิด มากน้อยขนาดไหน แถมไม่รู้ว่าอ่านรู้เรื่องรึเปล่า
คิดว่าพี่ต้านน่าจะเข้าใจแนวคิดต่างๆดี ก็เลยอยากถามว่าระดับความเข้าใจของผมเป็นยังไงบ้างครับ



MudleyGroup
ใช่เลยครับ นี่คือหัวใจพื้นฐานที่สำคัญของ Reflexivity ซึ่งคนส่วนมากจะมองแค่ข้อ1 ทั้งๆที่ข้อ 2 ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่นเพราะเรื่องของราคาตลาดมันสามารถสะท้อนมายังพื้นฐานของสินค้าได้เช่นกัน อย่างเช่น ในบลาซิล ตอนพี่ซื้อ-ขาย เอทานอล อยุ่ พอราคา เอทานอลมันพุ่งขึ้น จนเกิดกระแส ผู้คนในวงการเกษตรของบลาซิลต่างก็หาเหตุผลมา support การขึ้นของราคานั้น จนทำให้โรงงานเอทานอลเกิดความโลภอยากกักตุนไว้เพราะอยากได้ราคาสูงๆ สุดท้ายก็ยิ่งส่งเสริมทำให้ราคา เอทานอล ในบลาซิลตอนนั้นยิ่งสูงขึ้นไปอีก จนเกิดฟองสบู่ขึ้นมา หลังจากนี้พอมันสุดโต่งไปมากๆหลายๆคนเริ่ม Realize ก็จะทำให้เกิดการเทขาย เพราะถ้าราคามันแพงไปมากกว่านี้ก็จะมีคนไปนำเอทานอลจากประเทศอื่นเข้ามาขายแทน ทีนี้คนก็เริ่มแห่ขาย พวกโรงงานที่กักตุนไวเริ่มตกใจกลัวว่าตนจะขายได้ราคาไม่ดี ก็พากันขนออกมาขายกันใหญ่ จนราคาในตลาดรองรับ supply ไม่ทันส่งผลให้ตลาดดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ก็อย่างที่น้องปลาหมึกเข้าใจล่ะครับ :)

วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

power of negotiate




สิ่งที่สำคัญในโลกนี้สิ่งหนึ่งคือการต่อรอง ผมจึงนำสิ่งที่ทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูงขึ้นมาให้ได้อ่านกัน

  1. เงิน แน่นอนว่าคงไม่มีใครปฏิเสธสิ่งนี้ในการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยน ฝั่งที่มีเงินมากกว่า หรือต้องการเงินน้อยกว่ามักจะได้เปรียบ
  2. ข้อมูล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าฝ่ายไหนรู้ข้อมูลมากกว่าจะทำให้ได้เปรียบมาก ยิ่งถ้ารู้ข้อมูลฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้ว เช่นรู้ว่าต้องการอะไรมีขีดจำกัดขนาดไหน จะทำให้การต่อรองง่ายขึ้นมาก
  3. เวลา ฝ่ายที่มีเวลามากกว่าหรือไม่เร่งรีบจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าฝ่ายไหนอยากได้สิ่งที่ต้องการในเวลาที่จำกัดจะทำให้อำนาจการต่อรองสูญเสียไปเลย
  4. ทางเลือก ฝ่ายที่มีทางเลือกมากกว่าหรือมีทางเลือกอื่น ย่อมมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องต่อรองกับฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว ทางเลือกทำให้มีโอกาสได้เจอการต่อรองที่ดีกว่า
  5. เครือข่าย/เส้นสาย สิ่งนี้ทำให้เกิดอำนาจที่เหนือกว่าได้เพราะมีกำลังเสริมเข้ามาอีก ยิ่งกว้างขวางยิ่งทำให้มีอำนาจมากขึ้น
ในครั้งหน้าผมจะเชื่อมโยงให้เข้ากับตลาดหุ้นเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น