แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ investment แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ investment แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

การตัดสินใจ

หลายๆคนต้องการที่จะเข้ามาหาเงินจากตลาดทุน มีหุ้นบางตัวที่น่าดึงดูดหรือเป็นประเด็นตามหน้าเว็บบอร์ดหุ้น
การที่เข้าไปถามคนตามเว็บบอร์ดว่าซื้อดีรึเปล่า หรือไปเชื่อการเชียร์หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง นั่นแปลว่าเรายกอำนาจในการตัดสินใจของเราให้กับบุคคลที่เราไม่เคยเห็นหน้า เราเชื่อคนอื่นมากกว่าตัวเองขนาดนั้นเชียวหรือ บางคนอาจจะบอกว่าถ้าเค้าคนนั้นบอกผิด ก็จะไม่โทษเพราะไปเชื่อเค้าเอง แต่ผมเห็นไม่เพียงแต่ไม่ควรไปโทษคนที่บอกผิด ควรจะโทษตัวเองที่ไร้ความรับชอบต่อการตัดสินใจของเราเอง
คนที่ไม่สามารถแม้แต่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองประสบความสำเร็จได้ยากครับ

วันเสาร์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

2012

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 ผมได้ไปฟังดร.ก้องภพมาเล่าเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ ที่พวกเราสงสัยแต่ยังไม่ยอมรับให้ฟังกันในงานนี้ http://www.lonelytrees.net/?p=1739

โลกร้อนไม่ได้มาจากฝีมือของมนุษย์เพียงอย่างเดียว ปัจจัยที่ใหญ่กว่าและป้องกันไม่ได้คือระบบสุริยะที่เคลื่อนตัวเข้าบริเวณแนวระนาบของทางช้างเผือกต่างหากที่เป็นปัจจัยหลัก

ผมไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับจักรวาลมากนัก ขอนำลิ้งค์มาแปะให้อ่านกันดีกว่า

เรื่องนี้จะเกิดหรือไม่ ถ้าเกิดจะร้ายแรงขนาดไหนนั้น ผมว่าเราเตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่า การเตรียมพร้อมก็ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมายและได้ประโยชน์ทั้งนั้นต่อให้ไม่เกิดเหตุร้าย
สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเตรียมไว้คือ
  • ร่างกาย เราควรจะออกกำลังกายกันบ้าง อย่างน้อยหาเวลาวันละนิดหรือในวันหยุดก็ออกไปวิ่งตามสวนสาธารณะก็ไม่เลว
  • น้ำ อาหารแห้ง พวกมาม่าอาหารกระป๋องเตรียมๆไว้บ้างก็ดี แต่ยังไม่ต้องรีบมากนัก เพราะเดี๋ยวมันจะหมดอายุซะก่อน และน้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากขาดไม่ได้
  • เมล็ดพืช เมล็ดพืชพวกผัก พวกผลไม้ และสมุนไพร จะเป็นประโยชน์ในระยะยาว เมื่อได้มาแล้วแบ่งมาปลูกรอบๆบ้าน หรือใครมีที่ดินเยอะๆยิ่งดีใหญ่ พวกนี้จะเป็นอาหารและยาให้เราในอนาคต แม้จะไม่เกิดเหตุการณ์อะไร การลงทุนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะช่วยประหยัดค่าอาหารและยา ซึ่งเป็น 2 ใน 4 ของปัจจัย4
  • จิตใจ สมาธิ ผมว่าเราควรจะต้องฝึกสมาธิเพื่อจะมีสติในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์มากต่อการใช้ชีวิตของคนเรา ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
  • ทำในสิ่งที่อยากทำ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ในคิดว่าเวลาของเราเหลือน้อย มีความฝันอะไรก็รีบมุ่งหน้าเดินตามความฝัน ในข้อนี้ผมก็มองเห็นแต่ด้านดี เพราะทำให้เราเลิกนิสัยเสียที่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำ หรืออ้างว่ายังไม่พร้อม และถ้าไม่เกิดร้ายในปี 2012 เราก็ได้ไปยืนอยู่บนเส้นทางที่ฝันแล้ว

วันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้น

หลังจากไม่ได้อัพบล็อกมานานก็มีเรื่องมาอัพแล้ว(ก่อนหน้านี้ไม่มีไอเดียดีๆที่จะเขียนเลยครับ)
พอดีไปเจอเวบไซท์ที่เป็นเวบรวมเกมแฟลช ชื่อเวบ http://www.newgrounds.com/
เลยได้ลองเล่นเกมหลายๆเกมจนมาเจอเกมนึง ชื่อ Governor of Poker
คลิก
ลักษณะของเกมจะเป็นแบบกึ่งๆเปิดครับ คือเราเป็นตัวละครนึงในเกม แล้วเราต้องไปเข้าร่วมการแข่งขัน Poker แบบ Texas Hold'em เพื่อที่จะล่าเงินในการสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง มีการซื้อบ้าน(ร้าน)และพาหนะด้วยครับ โดยการซื้อบ้านนี้จะมีผลตอบแทนให้เหมือนรายได้จากค่าเช่า ซึ่งเป็นรายได้ที่มั่นคงกว่าไปเล่น Poker แต่ถ้าไม่เล่น Poker ก็ไม่มีทางที่จะเล่นหน้าซื้อสินทรัพย์จนครบเมืองเพื่อที่ข้ามไปเล่นในเมืองต่อไปได้ เพราะผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินไม่สูงนัก ดูคล้ายชีวิตประจำวันของเราเลยนะครับ ต้องไปทำงานโดยใช้แรงใช้สมองเข้าแลกจนกว่าจะมีสินทรัพย์ที่ให้รายได้ได้มากพอ

ในการเข้าร่วมการแข่งขันจะมี2แบบ คือแบบ Tournament และ Cash แบบ Tournament เราจะต้องจ่ายค่าเข้าไปเล่นก่อนและจะได้รับรางวัลเมื่อได้ที่1-3เท่านั้น การเล่นแบบ Tournament ต้องอาศัยการบริหารหน้าตักที่ดีเพื่อให้อยู่บนโต๊ะให้นานที่สุด อย่างน้อยต้องได้ที่3เพื่อเงินรางวัลโดยในการแข่งขันจะมีผู้เล่น8คน มีชิพเท่ากันทุกคน
ส่วนแบบ Cash จะมีผู้เล่น6คน และได้เสียเงินตามที่เราเล่นสามารถลุกจากโต๊ะเมื่อก็ได้หรือจนกว่าจะหมดตัว
แบบ1-1ก็มีเหมือนกันเจอตอนที่จะเล่นเพื่อที่จะเอาพาหนะ

มาเริ่มโยงเรื่องระหว่าง โป๊กเกอร์กับหุ้นดีกว่า โป๊กเกอร์เป็นเกมที่ต้องตัดสินจากไพ่ที่มีศักดิ์สูงที่สุด


แต่ในเกมนี้เล่นแบบ Texas Hold'em เราจะได้รับไพ่มา2ใบ แล้วจะไปจับคู่กับไพ่ในกองกลางอีก3ใบจาก5ใบ ดังนั้นทุกคนได้โอกาสจะไพ่กองกลางที่เปิดออกมาเท่าเทียมกัน ต่างตรงที่ไพ่ในมือ2ใบนั้นทำให้เรามีแต้มต่อมากกว่าหรือน้อยกว่าคนอื่นๆ

ในการเล่นจะต้องมีเงินเดิมพัน โดยที่จะมีคนที่เป็น Big Blind และ Small Blind (ผลัดกันเป็นทั้งโต๊ะโดยวนตามเข็มนาฬิกา) ทั้งคู่จะโดนบังคับให้ต้องวางเงิน โดย BB จะวางมากกว่า SB 1เท่าตัว เช่นเริ่มเกม BB วาง $2 SB จะวาง $1
การวางเงินก็เช่นเดียวกันจะวนตามเข็มนาฬิกา(SB อยู่ทางขวาของ BB) โดยผู้เล่นคนถัดจาก BB จะเลือกที่จะมอบ วางตาม BB หรือ เกทับก็ได้ วนไปจนถึง SB ซึ่งเป็นคนสุดท้าย แล้ว BBจะเลือกที่จะให้เปิดไพ่กองกลาง 3ใบแรก หรือเกทับ หรือหมอบก็ได้
ถ้าเกทับจะต้องวนกันตามเข็มนาฬิกาต่อไปโดยยังไม่เปิดไพ่กองกลางจนกว่าจะหยุดเกทับกันหรือจนกว่าจะเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว
ถ้าเปิดไพ่กองกลาง 3ใบ ก็จะเริ่มต้นวนกันตัดสินใจตามเข็มนาฬิกาต่อ ถ้าหยุดเกทับกันแล้วถึงจะเปิดอีก1ใบ และเกมจะเล่นแบบนี้จนเปิดอีก1ใบ ถ้ายังไม่ได้ผู้ชนะก็จะตัดสินโดยการให้ผู้เล่นหงายไพ่ในมือออกนับแต้มกัน

ลักษณะการเล่นแบบนี้เปิดโอกาสกว้างให้ผู้ที่ได้ไพ่ได้ดีมีโอกาสชนะได้จากการให้จิตวิทยาในการเล่นหลอกล่อ เช่นแกล้งทำเป็นมั่นใจ เกเงินทับไปเยอะๆ หรือแกล้งไม่เกเงินเพื่อดึงผู้เล่นคนอื่นๆให้อยู่ในเกมนานจะได้มีเงินเดิมพันบนโต๊ะสูงๆ

โป๊กเกอร์ โดยเฉพาะ Texas Hold'em มีลักษณะที่คล้ายๆการเล่นหุ้นตรงที่เรามีไพ่2(เหมือนข้อมูลที่ไม่มีใครรู้) ไพ่กองกลางที่ค่อยๆทยอยเปิด(เหมือนข่าวต่างๆ) และการหลอกล่อจากการเลือกตัดสินใจวางเงินเดิมพัน(การวาง bid offer) รวมทั้งถ้ามีเงินหน้าตักมากกว่าจะทำให้ได้เปรียบคู่แข่งมากทีเดียว และการบริหารเงินบนหน้าตักก็สำคัญต่อชัยชนะในระยะยาว

วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

นักลงทุนความจำสั้น

นายพรานสองคนว่าจ้างเครื่องบินให้พาพวกเขาไปล่ากวางมูส์ในในเขตป่าแคนนาดา
เมื่อไปถึง นักบินนักบินตกลงจะมารับพวกเราในอีกสองวันถัดมา
อย่างไรก็ตามนักบินได้เตือนพวกเขาว่าเครื่องบินจะสามารถรับน้ำหนักกวางมูส์ได้เพิ่มจากน้ำหนักของนายพรานอีกคนละหนึ่งตัวเท่านั้น
น้ำหนักที่เกินกว่านั้นจะทำให้เครื่องยนต์มีปัญหาและไม่สามารถบินกลับถงบ้านได้

สองวันต่อมา เมื่อนักบินกลับมารับ แทนที่จะฟังคำเตือน นายพรานได้ฆ่ากวางมูส์คนละสองตัว
เมื่อนักบินบอกว่าน้ำหนักมากเกินไป
นายพรานคนนึงพูดว่า "ปีที่แล้วคุณก็พูดอย่างนี้จำได้ไหม? เราจ่ายคุณพิเศษอีก1000เหรียญ แล้วคุณก็พาเรากลับพร้อมกวางมูส์สี่ตัว"
นักบินตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เครื่องบินบินขึ้นแต่หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นน้ำมันเหลือน้อยเครื่องยนต์ระเบิด นักบินถูกบังคับให้ลงจอดโดยเร่งด่วน
นายพรานทั้งสองมีอาการมึนงง แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ และคลานออกมาจากซากเครื่องบิน
นายพรานคนหนึ่งถามว่า "รู้ไหมเราอยู่ที่ไหน?"
อีกคนตอบว่า "ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะเป็นที่เดียวกันกับที่เราตกเมื่อปีก่อน"


แถมQuoteครับ
Investors have very short memories.
Roman Abramovich

วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

บทเรียนจากพ่อที่เป็นตัวอย่างให้ลูกในการลงทุนและใช้ชีวิต

บทความนี้ผมก็อปมาอีกทีนึงครับ
ขอขอบคุณ dr.k ที่นำบทความดีๆมาให้ได้อ่าน

พ่อสอนผม - บทเรียนจากพ่อที่เป็นตัวอย่างให้ลูกในการลงทุนและใช้ชีวิต
โดย มือเก่าหัดขับ (สงวนลิขสิทธิ์ พศ.2548)

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนๆ ที่เว็ป www.thaivalueinvestor.com ได้ขอ (หรือยุ ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย) ให้ผมเขียนให้อ่านกัน โดยถือว่าเป็นการเล่าและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากกว่าการสอน เพราะผมคงไม่อาจจะสอนใครได้ครับ

แรกเริ่มเดิมที เพื่อนๆขอให้เล่าเรื่องที่คุณพ่อผมสอนเล่นหุ้น แต่ด้วยความที่พ่อไม่เคยสอนผมเล่นหุ้น มีแต่เป็นการให้ข้อคิดในแง่มุมอื่น ผมจึงต้องขอแก้ชื่อเรื่องก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องพ่อสอนเล่นหุ้น เพราะพ่อเองก็ไม่เคยเล่นหุ้นด้วย แต่พ่อซื้อหุ้นเพราะเหตุผลอื่นครับ คือมองเป็นการลงทุนจริงๆ ไม่ใช่ว่าซื้อมาขายไปเอากำไรทำนองนั้น พ่อเองยังอยู่ดีมีสุข ไม่ค่อยได้ตามหุ้นว่ามันจะขึ้นหรือลง หลังๆ มาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก (ตามอายุ) ก็เลยบอกให้ผมดูแทน แต่ไม่ค่อยได้เทรดอะไร เพราะไม่จำเป็นและเราทั้งสองคนไม่ชอบ รวมทั้งออกจะขี้เกียจในการซื้อๆ ขายๆ ด้วยครับ

ผมขอละเว้นไม่ระบุชื่อหุ้นต่างๆ และราคาที่ทำการซื้อขายใดๆ นะครับ เนื่องจากคงไม่เกิดผลดีใดๆ ต่อใครทั้งสิ้น ผมก็ขอเริ่มเล่าไปเรื่อยๆ เลยก็แล้วกันนะครับ



วันหนึ่ง นานมาแล้ว ผมเริ่มสนใจในตลาดหุ้น ผมเล่าให้พ่อฟังว่า ผมเริ่มไปเปิดพอร์ตเพื่อซื้อขายหุ้นนะ เพราะว่าได้ร่ำเรียนมา น่าจะพอดูบริษัทออกได้บ้าง อย่างบัญชีหรืองบการเงินก็พอจะดูเป็น (ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ได้เป็นนักบัญชี แต่ผมตั้งใจว่าจะใช้ความรู้ตรงนี้เป็นส่วนประกอบเบื้องต้นในการคัดเลือกหุ้น) คงไม่เจ๊งหรอกน่า ผมก็เริ่มพูดเรื่องหุ้นกับพ่อ พ่อเองที่แต่ก่อนไม่เคยคุยเรื่องหุ้นกับผมเท่าไร พอผมเริ่มพูด พ่อก็เริ่มคุยด้วย

ผม: พ่อมีหุ้นอะไรบ้างครับเนี่ย?
พ่อ: พ่อมี xxx อยู่ yyy หุ้น แล้วก็ abc, แล้วก็ def, กับ ghi นอกนั้นไม่ค่อยเท่าไร
ผม: เยอะเหมือนกันนี่ครับ อืมม์... แล้วพ่อซื้อนานหรือยังล่ะ
พ่อ: โอ๊ย นานแล้ว ส่วนใหญ่จองได้มานะ เก็บไว้จนลืมนั่นแหละ เห็นมันถูกดี ถูก คือมีอนาคตดี มีปันผล แล้วก็โตไปได้ตามเศรษฐกิจนะ พ่อว่า ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น สินค้าของบริษัทก็ต้องขายดีขึ้นแน่ๆ อย่างไงบ้านเมืองเราก็ต้องขยายตัว ตอนซื้อมาราคาจองไม่กี่บาทเอง แต่พ่อซื้อเพิ่มทีหลังด้วยก็มี

ผม: ใช่พ่อ ถ้าพ่อไม่ซื้อๆ ขายๆ นะ ตัวที่พ่อถือนี่แหละ ถือลืมได้เลย (ผมเคยดูงบการเงินย้อนหลังและการจ่ายปันผล รวมทั้งธุรกิจของบริษัทนั้นมาก่อน)
พ่อ: เออ! พ่อก็ถือลืมนั่นแหละ เอ... ใบหุ้นอยู่ในตู้เซฟนั่นแหละ บริษัท xxx นี้มีใบหุ้นด้วย (ยิ้ม)
ผม: ก็ดีนะพ่อ ไม่ต้องไปดู หรือคิดจะขาย รับปันผลลูกเดียว
พ่อ: ก็นั่นแหละ รับมานานแล้ว จริงๆ แล้วที่ซื้อเพิ่ม ก็ปันผลมันน่ะแหละ ไม่ต้องออกตังค์ ดีไหม?
ผม: ดีครับ เหมือนได้หุ้นฟรีๆ (ยิ้ม)
พ่อ: ก็นั่นแหละ พ่อเก็บไว้ให้แก เพราะพ่อไม่ได้ใช้ พ่อมีเงินใช้ทุกเดือนอยู่แล้ว
ผม: ... (แต่ยิ้มกว่าเดิม) ไม่เป็นไรครับ ผมจะเก็บไว้เหมือนกัน
พ่อ: เออ... แล้วแกซื้อหุ้นอะไรไว้บ้างล่ะ
ผม: ก็พอมีนะครับ หลายบริษัทเหมือนกัน (ตอนนั้นผมมีหุ้นราวๆ เจ็ดแปดตัวได้) ตัวละนิดๆ หน่อยๆ ครับ
พ่อ: แล้วเป็นไงบ้าง มีปันผลหรือเปล่า?
ผม: ก็มีนะครับ มากบ้างน้อยบ้าง
พ่อ: แล้วถ้าเทียบกับทั้งพอร์ตล่ะ?
ผม: (งงไปสักพักหนึ่ง เพราะไม่เคยคิดอ่ะ) อืมม์ ไม่รู้แฮะพ่อ แหะๆ
พ่อ: อ้าว ทำไมไม่รู้ล่ะ ลองคิดดูสิ ว่าถ้าเทียบกับเงินที่ลงทุนไปหมดเนี่ย น่าจะได้ปันผลเท่าไร แล้วลองดูซิว่าจริงๆ แล้วได้อย่างที่คิดหรือเปล่า ปีนี้ ปีหน้า จะได้มากขึ้นหรือน้อยลง อะไรแบบนั้น
ผม: ครับๆ เดี๋ยวลองไปคิดดู

พ่อ: อืมม์.. แกซื้อหุ้น แกก็คิดว่าเป็นการออมอย่างหนึ่งก็แล้วกัน เสี่ยงกว่าฝากธนาคาร แต่ก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เรียกว่าออมไว้ส่วนหนึ่งในหุ้นนะ คิดเสียว่าทำให้เงินงอกเงย
ผม: ครับ ผมก็คิดแบบนั้นแหละ
พ่อ: แล้วก็อย่าไปซื้อๆ ขายๆ มาก คนรวยน่ะไม่ใช่เราหรอก นายหน้ารวยลูกเดียว ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย
ผม: อ้าว?!? แล้วถ้าซื้อแล้วได้กำไร หรือขาดทุนล่ะ ไม่ขายหรือพ่อ
พ่อ: แกก็ดูเอาสิ ว่ามันคุ้มไหม ได้กำไรน่ะ ได้จริงหรือเปล่า ขายแล้วจะเอาเงินไปทำอะไรที่มันดีกว่า หุ้นมันขึ้นเพราะอะไร มันจะขึ้นไปเรื่อยๆ ไหม เกินกว่าที่มันน่าจะเป็นหรือยัง ถ้ามันยังจะขึ้นไปอีก ก็ถือรับปันผลไปเรื่อยๆก็ได้นี่ บางที พ่อก็เห็นหุ้นมันขึ้นไปเรื่อยๆ นะ อย่างบางตัวนี่คน "ซื้ออนาคต" กันเป็นหลายๆ ปีเลย จะรู้ได้ไงว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ (พ่อสอนผมทางอ้อมให้หัดประเมินความเป็นไปได้ในการคาดการณ์)
ผม: ก็จริงนะครับ ผมว่าผมเลือกหุ้นที่ดีวันนี้เลยดีกว่า หรือไม่ก็ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ดีวันนี้ ก็ต้องดีแน่ๆ แบบสตางค์รอวิ่งเข้ากระเป๋า แล้วก็ดีไปเรื่อยๆ แบบมีรายได้แน่ๆ เหมือนที่ผมทำงาน (ผมหมายถึงงานส่วนตัว ที่ผมมักจะตัดความเสี่ยงออกทั้งหมด เรียกว่าถ้าไม่ได้กำไรแน่ๆ ผมไม่ทำ เพราะไม่จำเป็นต้องรับเอาไว้ทำ)
พ่อ: หาได้แบบนั้นก็ดี แต่ว่าแกก็ต้องทำงานนะ คือหามัน จะไปเชื่อใครเขาไม่ได้ พวกเชียร์หุ้นวิจารณ์หุ้นน่ะ บางทีพ่อไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
ผม: ใช่ครับ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อ
พ่อ: แกก็ฟังข้อมูลเขาเอาก็แล้วกัน ที่คาดว่าอย่างนั้น คาดว่าอย่างนี้ ก็คิดเอาเอง ว่าคาดกี่ที มันหลายตลบนักก็ท่าจะไม่แม่นเท่าไร ข้อแม้มันเยอะเหลือเกิน พ่อเลือกหุ้นที่มัน defensive หน่อยดีกว่า
ผม: ดีครับ พวกนี้อึดดี (ผมหมายถึงหุ้นพวก defensive เพราะไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนักกับการดำเนินงาน)

พ่อ: วันนี้หุ้นผันผวนนะ (เออ... พ่อใช้คำพวกนี้ก็เป็นแฮะ) บางทีพ่อเห็นหุ้นวิ่งขึ้นลงแล้วน่าเวียนหัว เดี๋ยวขึ้นเดียวลง มันอะไรนักหนา แบบนี้ไม่เรียกว่าปั่นว่าทุบ แล้วเรียกว่าอะไร มีแต่ข่าวมาเล่นกันได้บ่อยๆ นี่เห็นว่า กลต. เขาจะเล่นงานอยู่นี่
ผม: ใช่ครับ หุ้นนั้น (ผมพูดชื่อหุ้นตัวหนึ่ง) ข่าวเยอะมาก ข่าวดีมารอบหนึ่ง หายไปครึ่งเดือน ข่าวร้ายมาแล้ว หายไปอีกหน่อย ข่าวดีออกมา ไม่รู้อะไรนักหนา คงมีคนเจ๊งคนได้กันไปบ้างแหละ
พ่อ: ธรรมดา มีคนได้ ก็ต้องมีคนเสีย ซื้อวันนี้พรุ่งนี้ขาย ไม่ได้ก็เสียแหละ ปันผลก็ไม่เคยได้ บริษัทยังไม่ทันจะรับผลประโยชน์จากการดำเนินการเลย ก็ขายเสียแล้ว แบบนั้นไม่เรียกลงทุน แบบนั้นเรียกว่าซื้อขายหุ้นเพื่อเอากำไร มูลค่าเพิ่มจากการทำงานของบริษัทมันยังไม่เกิดเลย
ผม: ก็นั่นแหละครับ คนเขาบอกว่าสนุก
พ่อ: แล้วเสียเงินไหมล่ะ?
ผม: คนได้ก็มีนะพ่อ
พ่อ: แล้วจะต้องไปเสี่ยงทำไมล่ะ พ่อเห็นมีแต่คนบ่นขาดทุน คนได้มีแค่หยิบมือ แต่สุดท้ายไปๆมาๆ ก็เสมอตัวเสียเยอะ พอได้ แล้วก็มาเสีย คืนเงินเขาไป
ผม: ก็ไม่ใช่เงินของตัวเองนี่ ได้มาฟรี ก็ต้องเสียไปฟรีๆ
พ่อ: ถูกแล้ว เงินที่ไม่ใช่ของเรา ก็ต้องคืนเขาไปอยู่ดี ของฟรีไม่มีหรอกลูก แต่ถ้าเราถือหุ้นไว้ ให้บริษัทมีผลดำเนินงาน แล้วจ่ายปันผลเรา แบบนี้มันเป็นของเรา เราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราเป็นเจ้าของบริษัทด้วยกัน ร่วมหัวจมท้ายกัน
ผม: ก็จริงครับ ไม่บาปด้วย เอ.. แต่คนเขาซื้อขายบ่อยๆ แบบเก็งกำไร เขาก็พร้อมจะขาดทุนกัน แบบว่าอยู่ในสนามเดียวกัน เขาคงไม่คิดว่าถูกเบียดเบียนหรอกครับ ฉะนั้นคนที่เล่นแบบเดียวกันคงไม่บาปหรอกพ่อ (แล้วผมก็หัวเราะ)
พ่อ: แบบนั้นอาจจะเบียดเบียนตัวเองก็ได้นะ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเบียดเบียนผู้ใด แม้แต่ตัวเอง
ผม: !?! (นึกในใจ มีด้วยหรือฟะ เบียดเบียนตัวเอง)

หลังจากดูหุ้นวิ่งขึ้นๆ ลงๆ สักพักหนึ่ง เศรษฐกิจรวมๆ ก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ การใช้จ่ายของประชาชนและของรัฐบาลก็มากขึ้น (จริงๆ แล้วต้องมองสองด้านเสมอ คือทั้งด้านดีและไม่ดี) โครงการเมกกะโปรเจ็กท์เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดเมื่อไม่นานมานี้ วันหนึ่งผมไปหาพ่อ นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระตามปกติ แล้วก็พาลวกเข้ามาเรื่องหุ้นจนได้...

พ่อ: หุ้น mno (ชื่อสมมติ) เป็นไงบ้าง ดีไหม?
พ่อพูดถึงหุ้นตัวใหม่อีกตัวหนึ่งที่ไม่เคยมีในพอร์ต เป็นหุ้นที่เรียกว่าใช้ได้ตัวหนึ่ง เข้าสูตรพ่อว่าพ่อต้องชอบ เพราะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ สภาพคล่องพอสมควร เรียกว่ามีสภาพเท่าๆ กับเงินสดเหมือนกัน และก็กำลังฟื้นตัว
ผม: ก็ดีนะครับ แต่ตอนนี้แพงไปหน่อย (ผมว่าตามความรู้สึก)
พ่อ: แพงอย่างไงล่ะ ไหนอธิบายหน่อย
ผม: คือราคามันขึ้นมามากแล้ว อีกไม่นานคงยุ่งแน่ๆ (ผมหมายถึงว่าจะต้องราคาตกต่ำลง ใครๆที่ซื้อไว้ก็อาจจะตกใจได้)
พ่อ: แล้วกำไรเป็นอย่างไรบ้างล่ะ พ่อเห็นเศรษฐกิจดีขึ้น คนน่าจะใช้สินค้าของเขามากขึ้นนะ ราคาที่ขึ้น อาจจะขึ้นได้อีก มันอยู่ที่การดำเนินงานของบริษัทมากกว่า ไม่ใช่ว่าขึ้นแล้วต้องลงเสมอไป มันอยู่ที่ว่าขึ้นเกินความสมควรไปหรือยัง (พ่อหมายถึงราคาอันควรที่จะได้ผลตอบแทนเกิน NPV - Net Present Value ของมัน) ถ้ายัง ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา
ผม: (อ้ำอึ้งไปนิดหนึ่ง เพราะปกติถ้าหุ้นขยับขึ้นถึงจุดหนึ่ง ก็จะมีแรงขายสวนออกมาเสมอ บางคนเข้าซื้อแล้วทนไม่ได้ ก็มักจะถอดใจขายขาดทุนออกมา แล้วหุ้นนั่นก็วิ่งสวนขึ้นไปให้เจ็บใจ แถมตามไม่ทันอีก แต่กับพ่อ คงไม่เท่าไรเพราะพ่อหนักแน่นเรื่องแบบนี้เสมอ แต่ผมก็อดหยอดความเห็นเพิ่มไปไม่ได้) มันก็จริงน่ะครับ แต่ว่า ผมว่านะ สินค้านี้มันแข่งกับต่างประเทศไม่ได้ นี่ถ้าเปิดเสรี แล้วก็โดนบีบเรื่องให้เอากำแพงภาษีออกล่ะก็ เสร็จแน่ๆเลย ของต่างประเทศเข้ามาคงถูกกว่าแน่
พ่อ: เฮ้ย! นั่นมันเรื่องการเมืองนะ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องภาษีนี่คงลำบาก รัฐบาลไม่เอากำแพงออกแน่พ่อว่า ไม่งั้นต้องพังกันหมด เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร ไม่งั้นก็เจ๊งไปตั้งนานแล้วล่ะ นี่อยู่มาได้ตั้งนาน
ผม: พ่อว่างั้นเหรอ เอางี้นะครับ เดี๋ยวเราเอางบการเงินมาดูกันก่อนตัดสินใจดีกว่า
พ่อ: พ่อไม่ได้เรียนมานะ แต่พ่อส่งแกไปเรียนมาแทนไง ก็ดี เอามาดูกัน อย่าลืมนะ คราวหน้าเอามาด้วย ทำอะไรก็ต้องรีบคิดรีบทำนะ เวลาไม่รอใครหรอก

ผมหายหน้าไปหนึ่งสัปดาห์ กลับมาหาพ่อพร้อมกับข้อมูลทั้งของตลาดหลักทรัพย์ และบทวิจัยของโบรกเกอร์สองสามราย เกี่ยวกับหุ้นตัวที่คุยกันไว้เมื่อคราวก่อน จริงๆ แล้วผมก็อ่านไปสองสามรอบแล้ว เพื่อเป็นการทำการบ้านมาก่อน เพราะเมื่อมาถึงพ่อแล้ว จะต้องอธิบายให้พ่อฟังอีกคร่าวๆ แถมด้วยพ่อต้องถามคำถามที่ผมตอบยากอีกแน่ๆ
พอผมเจอหน้าพ่อ ไหว้พ่อและทักทายเรียบร้อยแล้ว คำแรกที่พ่อถามกลับไม่ใช่เรื่องหุ้นครับ

พ่อ: เออ สวัสดีลูก เป็นไงบ้าง งานที่บริษัท? (พ่อหมายถึงงานประจำของผม)
ผม: ก็ดีครับ บริษัททำงานได้ดี มีกำไรตามควร แต่ก็ลุ่มดอนเล็กน้อยตามสภาพการแข่งขันครับ
พ่อ: อืมม์... ตั้งใจทำงานให้ดีนะ อย่าพะวงเรื่องหุ้นมากนัก พวกนี้เหมือนกับเป็นการออมของเราอย่างหนึ่ง อย่าหวังรวยมากมายด้วยหุ้น เราซื้อหุ้นถือว่าเป็นการออมนะ ไม่ใช่หวังรวยมากมายรวดเร็ว พ่อเห็นมามากแล้ว ไปเล่นหุ้นปั่น วู๊... (พ่อทำเสียงแหลม) เจ๊งไปเยอะ เหมือนพวกเพื่อนพ่อบางคน เตือนก็ไม่เชื่อ แถมเผลอๆมาด่าเราอีกว่าขัดลาภ แต่มันก็เงินเขานี่นะ เราเอาแค่ได้ปันผลมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ชนะอัตราเงินเฟ้อ และก็รักษาต้นทุนไว้ได้ก็พอแล้ว

ผมรู้ว่าพ่อกลัวว่าผมจะกลายเป็นนักเล่นหุ้นไปเสียก่อนโดยไม่สนใจการงาน จริงๆ แล้วทั้งที่พ่อก็รู้ว่าผมเป็นคนรักงาน แต่ก็คงอดกลัวไม่ได้ที่ผมไปเรียน ป.โท เรื่องการจัดการและการเงิน อาจจะกลัวผมร้อนวิชาจนเอาเงินมาเล่นหุ้นหมด หรือเล่นหุ้นปั่นจนเจ๊งหุ้นเหมือนเพื่อนพ่อบางคนไปเสียก่อน เรื่องของการให้เอาใจใส่ในการงานนี้พ่อเน้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานธุรกิจส่วนตัวนอกเวลาของผม หรืองานประจำ เพราะพ่ออยากให้ผมทำตัวให้เป็นประโยชน์ไปด้วย

ผม: ครับพ่อ ผมก็ลงทุนเพื่อเป็นการออมนั่นแหละครับ แล้วไม่เคยเล่นหุ้นปั่น พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ (บอกตรงๆ ผมก็ไม่เล่นหุ้นปั่นหรอก เพียงแต่ว่าบางครั้งเก็งกำไรบ้างเท่านั้น เป็นตัวๆ ไปแต่ด้วยงบประมาณที่น้อย พ่อรู้ก็คงไม่ว่าหรอก)
พ่อ: ไหนเอาอะไรมา เอามาดูกันหน่อย (พ่อพูดถึงเอกสารเกี่ยวกับหุ้นของบริษัท mno ที่พูดถึงสัปดาห์ก่อน) เออ.. แล้วหยิบแว่นให้พ่อด้วยนะ อยู่บนโต๊ะทำงานน่ะ

ผมเดินไปหยิบแว่นบนโต๊ะทำงานของพ่อ ที่มีหนังสือวางอยู่ราวๆ สิบกว่าเล่มแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย พ่อเป็นคนรักษาความสะอาด เรียกว่าเป็นระเบียบสมกับหน้าที่การงานจริงๆ หนังสือที่วางอยู่ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับธรรมะและการใช้ชีวิต พวกปรัชญาและประวัติศาสตร์ก็มีบ้างเหมือนกัน ส่วนหนังสือพิมพ์หรือหนังสือเกี่ยวกับหุ้นนั้น เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีเอาเลย หรือหาได้ยากมาก พ่ออาศัยวิธีการดูหุ้นจากเนื้อแท้ของธุรกิจจริงๆ มากกว่า อาศํยการคุยกับเพื่อน การเดินช็อปปิ้ง (เดินจริงๆ ครับ ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรหรอก บางทีคนที่ไปด้วยก็ถามว่าพ่อมาดูอะไรเนี่ย? พ่อก็บอกว่ามาซื้อของใช้เท่าที่จำเป็น แต่มาแล้วก็ดูๆ หน่อย) พ่อไม่ค่อยซื้อของสุรุ่ยสุร่าย นานๆ จะเห็นพ่อซื้ออะไรที่ไม่ใช่ของจำเป็นสักครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วพ่อไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่จะจ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น อย่างรถยนต์ รถเบนซ์อะไรนี้พ่อก็ซื้อมาใช้ แต่ว่าไม่ใช่ว่าเปลี่ยนบ่อยๆ ตามรุ่นที่ออกมา บางทีพ่อบอกว่า ไม่อยากซื้อของเข้าบ้านมาก เพราะเกะกะบ้าน (ผมก็เห็นจริง เพราะหากของเยอะ บ้านสวยๆ ก็รกไปหมด ดูแลยาก ทำความสะอาดก็ยาก)

นอกเรื่องไปเสียมาก แต่แม้เรื่องที่เล่ามานี้จะไม่เกี่ยวกับหุ้นเท่าไรนัก แต่แสดงให้เห็นได้ว่า การที่เราเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว และมีความรู้รอบตัวที่ดี มีการควบคุมความคิด มีระเบียบวิธีในการคิดและไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้เรามีปัญญาให้การตัดสินใจได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งการลงทุนนะครับ หลายๆ ท่านเคยเปรยไว้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนหลายๆ คน ไม่ได้มีความรู้มากมายทางด้านเศรษฐศาสตร์หรือการเงินเป็นหลักหรอก เพียงแต่เข้าใจพอใช้งานได้ หากแต่มีความเข้าใจในความคิดมนุษย์ โลกที่เปลี่ยนแปลงไป และปรัชญาต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหากเราคิดจริงจังแล้วก็อาจจะเห็นเป็นจริงได้ เพราะหลักการที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้โลกและธุรกิจต่างๆ ดำเนินไปได้ทั้งสิ้น

หลังจากหยิบแว่นตาให้พ่อแล้ว ผมก็มานั่งกับพื้นไกล้ๆ พ่อที่อยู่บนเก้าอี้หนังตัวโปรด แล้วก็ยื่นเอกสารให้พ่อไปทีละชิ้น พ่อหยิบดูชิ้นแรกแล้วก็เริ่มถาม

พ่อ: เอ้า.. นี่อะไรน่ะ ไหนลองสรุปให้ฟังซิ (พ่อพูดถึงเอกสารเกี่ยวกับงบการเงินของบริษัท mno - ชื่อสมมติ - ที่ผมยื่นให้เป็นชิ้นแรก)
ผม: อันนี้งบการเงินนะพ่อ โดยสรุปคือ บริษัทนี้ยังมีหนี้อยู่ เพิ่มทุนไปแล้วครั้งแรกทำให้หนี้สินน้อยลง แต่ยังไม่หมดดี ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มทุนอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ดูไม่ดีนักที่การเพิ่มทุนเป็นเรื่องของการใช้หนี้
พ่อ: อืมม์... แล้วถ้าไม่เพิ่มทุนครั้งที่สอง เมื่อไรจะใช้หนี้หมด พ่อว่า จริงๆ แล้วไม่มีใครเขาเพิ่มทุนกันง่ายๆ หรอกนะ เพราะเจ้าของเดิมก็ต้องเอาเงินมาเพิ่มด้วย ไม่งั้นสัดส่วนการถือหุ้นก็จะน้อยลงไปใช่ไหมล่ะ?
ผม: ใช่ครับ จริงๆ แล้วการเพิ่มทุนก็รบกวนผู้ถือหุ้นเดิมอย่างที่พ่อว่านั่นแหละ ไม่มีใครชอบแน่ๆเลย หุ้นก็เพิ่มขึ้นเยอะ เกิดไดลูทอีก นอกจากกู้ที่ไหนไม่ได้แล้วหรือไม่ค่อยอยากคิดเรื่องการแบกภาระหนี้สินเท่านั้น ถึงดุ่ยๆ เพิ่มทุนเอา
พ่อ: เอางี้ ไหนลองดูซิว่า ถ้าไม่เพิ่มทุน แล้วหนี้ที่มีอยู่มันดอกเบี้ยเท่าไร กำไรที่หาได้ตอนนี้ หรือตอนหน้า ใช้ดอกเบี้ยพอหรือเปล่า นี่เอาแค่ดอกเบี้ยก่อนนะ ยังไม่ต้องใช้เงินต้น (พ่อยิ้มแล้วก็พูดต่อ...) อย่างนี้เจ้าหนี้ยิ้มไปเลย ถ้าได้ดอกเบี้ย
ผม: กำไรก็พอมีนะครับ ราวๆ สักสามสี่เท่าของที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยได้
พ่อ: โห... ไม่ไหวมั้ง ถ้าสักเจ็ดแปดเท่าน่าจะดีกว่านี้เยอะ
ผม: ใช่ๆ แต่อย่างว่าแหละพ่อ เจ้าสินค้านี้มันกำไรไม่มาก จะขึ้นราคาตามใจก็ไม่ได้มียี่ห้ออะไรชักจูงลูกค้าอีก
พ่อ: อืมม์... พวกนี้ขึ้นกับ demand/supply (อุปสงค์/อุปทาน) นั่นแหละ แต่ตอนนี้มันก็ติดที่รัฐอาจจะควบคุมราคาอยู่ ลำบากหน่อย แต่อย่างว่าแหละ ถ้าขึ้นราคาของพวกนี้ตามใจ ประเทศก็แย่ ค่าใช้จ่ายรัฐก็มาก ไม่ดีหรอก เขาก็ต้องควบคุม

ถึงตรงนี้พ่อกำลังสอนผมว่าให้คิดถึงคนอื่นด้วย การที่เราจะรวยคนเดียว ไม่คิดถึงใคร ไม่คิดถึงคนที่เดือดร้อนที่เป็นส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก เรียกว่านอนไม่หลับเต็มตาก็ได้ เพราะเบียดเบียนคนอื่นไว้ แล้วพ่อก็ถามต่อ

พ่อ: แล้ว p/e เท่าไรล่ะ? ในเอกสารเขาบอกไว้ว่าเท่าไร แกว่าเขาคิดถูกหรือเปล่า
ผม: ปีนี้ก็น่าจะราวๆ 20 นะครับ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คือยอดขายและอัตรากำไรเท่าเดิม เพราะดูเหมือนบริษัทไม่ได้วางแผนใช้จ่ายเงินอะไรเพิ่มในระยะนี้ และไม่ได้มีกำไรพิเศษด้วย เขาก็คิดมาไกล้เคียงกับที่ผมประมาณน่ะพ่อ สำหรับปีนี้นะ ปีหน้าไม่รู้จริงๆ มันเป็นเรื่องอนาคต ฮ่าๆๆ (ผมพูดพร้อมกับหัวเราะ)
พ่อ: (พูดสวนมาทันที) เฮ้ย! กำไรพิเศษไม่พูดถึงสิ มันได้กันครั้งเดียว ถ้าไม่ได้มากมายขนาดไปทำอะไรได้ถาวร หรือใช้หนี้ให้หมดไปได้มากๆ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนัก ระยะยาวแล้วพวกนี้ไม่เกี่ยวหรอก
ผม: ใช่พ่อ ได้มาครั้งเดียว บางทีนิดๆ หน่อยๆ เราก็ตื่นเต้นกันไปได้มาก สุดท้ายหลายบริษัทก็กลับไปขาดทุนอีกก็มี ถ้าพื้นฐานของสินค้า บริการ และต้นทุนไม่แน่นพอ จริงๆ แล้วเราเห็นกันได้บ่อยๆ ด้วยซ้ำไป มีเยอะพ่อ พ่อก็เห็น
พ่อ: เออสิ ถึงไม่ต้องไปสนใจมากไง อ่ะ มาดูต่อ แล้วมูลค่าทางบัญชีเท่าไรล่ะ?
ผม: ราวๆ ครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นครับ
พ่อ: (เงียบไปหนึ่งวินาที) อะไรนะ p/e เกือบยี่สิบกับ p/bv เกือบสองเนี่ยนะ ทำไมแพงจัง ราคาอยู่อย่างนี้ได้ไงเนี่ย มีวอลลุ่มหรือเปล่า ซื้อขายวันละมากไหม

พ่อถามตรงนี้เพราะพ่อรู้ว่า โดยทั่วไปหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ ราคาจะขยับไปมาได้มาก แต่หากสภาพคล่องสูง ราคาจะกระโดดไปมาไม่ได้มากนักหากไม่มีโวลลุ่มมาประกอบ อันนี้ว่ากันโดยทั่วไปนะ แต่หากเป็นหุ้นที่มี "ความนิยม" ที่เข้ามาซื้อขายกันมาก หุ้นที่สภาพคล่องสูงๆ ก็อาจจะถูก "พา" ให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปได้มากเช่นกัน

ผม: สภาพคล่องเยอะนะพ่อ เพราะว่าราคาไม่กี่บาท (คนทั่วไปมักเรียกว่าไม่แพง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนละเรื่องกับความถูกหรือแพงของหุ้นตามผลตอบแทน อันนี้พ่อรู้ดีว่าหุ้นราคา 80 สตางค์อาจจะแพงกว่าหุ้นราคาสองร้อยบาทอยู่มากๆ ก็ได้) คนก็เข้ามาซื้อขายเยอะ
พ่อ: แพงไปหน่อยนะ หนี้ก็มี สินค้าก็เป็นของทั่วไป ซื้อของใครก็ได้ถ้าไม่ถึงกับขาดตลาด จะเพิ่มทุนหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ทำไม p/e ยี่สิบนี่ยังมีคนมาซื้ออีก
ผม: อาจจะเก็งกำไรก็ได้นะ
พ่อ: เก็งอนาคตน่ะสิ อย่างนี้ไม่เรียกว่าซื้ออนาคตไปหน่อยหรือ? อนาคตดีขึ้นสองเท่า ยังแพงไปนิดเลย ไม่พูดถึงหนี้ที่เหลือนะ แล้วราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นสองเท่าได้ที่ไหนเล่า นอกจากจะเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ผม: นั่นน่ะสิครับ (ผมพูดพร้อมกับยื่นเอกสารให้พ่ออีกสองสามแผ่น) อาจจะเพราะเจ้านี่ก็ได้ ที่มีนักวิเคราะห์เขาให้ความเห็นว่าราคาเหมาะสมมันอาจจะสูงกว่านี้อยู่เฉียดๆ สองเท่าน่ะ
พ่อ: ไหนดูหน่อย

พ่อหยิบไปอ่าน อ่านแบบอ่านออกเสียงด้วยนะ ดีนะที่พ่อไม่แกล้งอ่านผิดแล้วให้ผมท้วง ประมาณว่าถ้าผมไม่ท้วงแสดงว่าไม่ได้อ่านมาก่อน แต่ขอโทษทีนะพ่อ... เรื่องหุ้นนี่ผมชอบอ่านอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับหนังสือวิชาคำนวณที่พ่อจ้ำจี้จ้ำไชสอนผมตอนผมอยู่ประถมแต่ผมก็ไม่สนใจเพราะห่วงเล่นอยู่หรอก (ตอนนั้นรักก็รักพ่อนะ กลัวก็กลัว เพราะพ่อสอนเอาจริงเอาจัง อันไหนคิดไม่ออก หรือคิดช้าอาจจะโดนดุเอาได้ง่ายๆ) แต่จะว่าไป ผมนี่แหละเป็นหนี้ชีวิตพ่ออย่างทดแทนไม่ได้หรอก แบบว่าจะรีไฟแนนซ์กี่รอบก็คงใช้ไม่หมดครับ ไม่ได้พ่อและแม่ ผมจะได้เรียนดีๆ เป็นผู้คนอย่างนี้ได้อย่างไร (ฮ่าๆๆ ขอยอมรับสภาพหนี้และชดใช้ไปเรื่อยๆ จ้ะ) แล้วพ่อก็ถามผมต่อ

พ่อ: แล้วแกเชื่อไหมล่ะ
ผม: ผมไม่ค่อยเชื่อนะพ่อ เงื่อนไขมันเยอะเหลือเกินที่จะได้อย่างนั้น อีกสองอย่างที่น่าสงสัยแต่ผมยังหาข้อมูลไม่ได้ ก็คือเรื่องการขาดทุนที่ทำให้มีหนี้สินนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และก็อนาคตเรื่องของยอดขายอีก ว่าจะดีอย่างนี้ได้เรื่อยๆ หรือเปล่า
พ่อ: ใช่ๆ อย่างยอดขายเขาบอกว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 50% แล้วกำไร.... (อันนี้พ่อเริ่มคิดในใจแล้ว ราวๆ กับว่าประมาณตัวเลขของกำไรที่จะได้ กับหนี้สินที่มีอยู่ บวกกับดอกเบี้ยอีก แล้วก็พูดต่อ) ราคาหุ้นมันไม่น่าจะขึ้นมาสองเท่าได้ง่ายๆ เลยนะ ยิ่งมีเรื่องหนี้กับความเสี่ยงเรื่องเพิ่มทุนอีก แล้วราคามันจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าง่ายๆ ได้ไง
ผม: นั่นน่ะสิพ่อ ผมว่านะ เราคอยดูหุ้นตัวนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ อย่าเพิ่งรีบซื้อมันเลย
พ่อ: อืมม์ พ่อก็ว่างั้นแหละ ก็ไม่เป็นไร ดีแล้วที่เราได้มาดูตัวเลขพวกนี้ แกเอาเอกสารนี่ไว้ให้พ่อก่อนก็แล้วกัน
ผม: ได้พ่อ พ่อเอาไว้เถอะ ไว้อ่านเล่นๆ ผมหาได้จากอินเทอร์เน็ตอยู่แล้วครับ

นับจากวันที่ผมได้ดูหุ้นตัวนั้นกับพ่อ จนถึงวันนี้ หุ้นตัวนั้นราคาตกลงมากว่า 20% และเคยตกต่ำสุดไปถึงกว่า 30% และยังไม่ไกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์ได้บอกไว้เลย

วันหนึ่งผมนั่งดูทีวีอยู่กับพ่อ ในวันที่ไปเยี่ยมตามปกติ ผมก็ชวนพ่อคุยเรื่องหุ้นตัวหนึ่ง เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดค่อนข้างใหญ่ สภาพคล่องปานกลาง ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองและส่งออกขายยังต่างประเทศด้วย ประกอบกับผมเคยพบผู้บริหารของบริษัทนี้ ซึ่งทีแรกแล้วดูเหมือนว่าเป็นเพียงบริษัทครอบครัว (ก็เป็นบริษัทครอบครัวจริงๆ นั่นแหละ) แต่ก็มีบางอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของการพยายามพัฒนาคนในครอบครัวให้มีความรู้เรื่องธุรกิจเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ เรื่องราวของการซื้อหุ้นตัวนี้ ได้ให้ข้อคิดทางด้านเทคนิคกับผมบางอย่าง (ไม่ใช่เทคนิคอลนะครับ ผมยอมรับว่าไม่สันทัดเรื่องนั้น)

ผม: พ่อสนใจหุ้นของบริษัท jkl (ชื่อสมมติครับ อย่าไปตามหานะ) บ้างหรือเปล่า?
พ่อ: อืมม์... เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่แน่ใจว่าทำอะไร
ผม: ก็ทำ - - - (ขออนุญาตเว้นไว้ครับ ถ้าบอกไปจะเป็นการบอกบริษัท) ครับ ตอนนี้มีโรงงานใหญ่มาก ส่งออกไปหลายประเทศด้วย และกำลังขยายตลาดเพิ่มอีก เพื่อส่งออกไปหลายประเทศมากขึ้นด้วยครับ
พ่อ: ไหนเอาข้อมูลมาดูหน่อยสิ ตอนนี้ราคาเท่าไร กำไรดีไหม ที่ผ่านๆ มา แล้วก็อนาคตน่าจะเป็นอย่างไร โบร๊กเกอร์แกมีข้อมูลอะไรบ้าง

พ่อรัวถามเป็นชุด
แต่ด้วยความที่พ่อเป็นพ่อผมมาสามสิบกว่าปี ผมเลยรู้ทัน ผมหยิบข้อมูลที่พิมพ์มาอ่านเล่น (เผื่อพ่อไม่สนใจ - ก็กะว่าจะซื้อเองล่ะ) ตอนไปคุยกับพ่อยื่นให้

ผม: แหะๆ นี่ครับ รู้แล้วว่าพ่อต้องถาม
พ่อ: ถามสิฟะ จะซื้ออะไรลงทุนอะไร ก็ต้องดูตาม้าตาเรือบ้าง ต้องศึกษาให้ดี เราไม่ดูถูกเงินนะลูก ไอ้ซื้อส่งเดชน่ะไม่ได้กลัวขาดทุนนะ แต่ไม่อยากมาเจ็บใจทีหลังว่าไปซื้ออะไรก็ไม่รู้ต่างหาก

พ่อให้ความสำคัญใน "วิธีการ" และ "หลักการ" ในการที่เราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ดูแต่ที่ผลของมันเพียงอย่างเดียว โดยเชื่อว่าถ้าเรามีหลักการ วิธีการที่ถูกต้องและทันกับกาลสมัย เราจะต้องได้ผลงานที่ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ เราต้องการกำไรทั้งจาก Capital Gain และจากเงินปันผล แต่ถ้าเราเลือกไม่ดี ก็จะทำให้เราเสียโอกาสได้ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเราลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่
ผมพูดต่อ

ผม: เงินปันผลเท่าที่ผ่านๆ มาก็อยู่ในระดับ 6-7% เทียบกับราคาตอนนี้ และดูว่าจะเติบโตได้ในอนาคตไปอีก ราคาหุ้นตอนนี้ p/e ต่ำกว่าสิบอยู่พอสมควร และมีเงินสำรองในการทำงานมาก ผู้บริหารมีความรู้ดีในกิจการ และถือหุ้นใหญ่คงไม่หนีไปไหนแน่ๆ มูลค่าหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีก็ไม่ถึงสองเท่าครับ
พ่อ: อืมม์.. แล้วโบร๊กเกอร์ให้ Fair Price เท่าไรล่ะ (พ่อจะเรียกว่า Fair Price แทนคำว่า Target Price ซึ่งผมก็ออกจะเห็นด้วย เพราะ Target ที่ว่านั่น ฟังดูแล้วเหมือนว่าต้องมีใครมา "ทำ" ให้มันถึงราคานั้นมากกว่าด้วยพื้นฐานของมันเอง)
ผม: ก็ขึ้นไปได้อีกราวๆ 20% จากราคาตอนนี้ครับ
พ่อ: แล้วแกว่าไง? เขาวิเคราะห์ไว้ถูกหรือเปล่า
ผม: ก็ไกล้เคียงนะ เราก็ซื้อไว้บ้างก็ได้นี่ครับ ยังไงๆ ปันผลก็มากกว่าดอกเบี้ยธนาคารอยู่และมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดูแล้วปัจจัยที่จะมากระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทก็ไม่น่าจะมากนัก ถึงจะมีก็คงไม่ทำให้ถึงกับขาดทุน และดูจากที่สามารถเติบโตได้อีก ก็น่าจะลองดูได้
พ่อ: อ้ะ ลองดู ยังไงๆ ก็ยังมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง พ่อชอบของที่มีผลิตภัณฑ์เพราะมันจับต้องได้น่ะ แล้วก็เป็นของที่ต้องกินต้องใช้เสียด้วย ลองดูๆ

ผมไม่ได้คุยกับพ่อสองสามวันในระหว่างสัปดาห์ วันหนึ่งพ่อโทรศัพท์เข้าโทรศัพท์มือถือผม แล้วบอกว่าได้เริ่มซื้อหุ้นนั้นแล้ว ไอ้คำว่าลองของพ่อที่คุยกันไว้น่ะ มันไม่น้อยเหมือนกัน ผมมารู้ทีหลังยังตกใจ จริงๆ แล้วเป็นความผิดของผมเหมือนกันที่ว่าไม่ได้วางแผนการซื้อให้พ่อด้วย เพียงแต่บอกว่าให้ซื้อที่ราคาไม่เกินเท่าไรเท่านั้น แต่หลังจากวันแรกที่เข้าไปซื้อหุ้นนั้น มันก็ตกลงมาเรื่อยๆ ชนิดที่เรียกว่าทรงกับทรุด แต่ไม่ทรุดมากนะ เรียกว่าทรุดทีละนิดๆ ให้คอยกังวล จนวันหนึ่งผมไปหาพ่อ เราก็คุยกันเรื่องนี้

ผม: พ่อจะขายหุ้น jkl ออกไปก่อนหรือเปล่าครับ แล้วเราค่อยรับกลับมา (ผมยังคงมั่นใจในการดำเนินการของบริษัทนี้ ถ้าเราขายหุ้นนี้ ซึ่งสำหรับเราถือว่าเป็นหุ้นลงทุนออกไป เราจะต้องรับกลับมา ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับเสียของและขาดทุนไปเปล่าๆ)
พ่อ: เฮ้ย ขี้เกียจขาย เก็บมันไว้ก่อน เดี๋ยวลงมาแล้วซื้ออีกหน่อย
ผม: เอางั้นหรือพ่อ (คิดในใจว่าเป็นงั้นไปได้ไงฟะ ผมมาชวนขายขาดทุนแท้ๆ)
พ่อ: เอางั้นแหละ ก็ถ้ามันยังได้กำไรเรื่อยๆ มีปันผล พ่อไม่ขายทิ้งหรอก ขายไปเดี๋ยวขาดทุนฟรี ตอนซื้อกลับไม่ทัน แล้วถ้าราคามันต่ำลงมา แสดงว่าปันผลต่อราคาจะต้องมากขึ้นไม่ใช่หรือ?
ผม: ก็ใช่นะพ่อ เดี๋ยวเราดูมันไปก่อน อย่าเพิ่งซื้อ

หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ เจ้าหุ้นนั้นมันก็ตกต่ำมาต่อเนื่อง ผมเจอพ่ออีกที พ่อทักทายอารมณ์ดีตามปกติ คุยกันสัพเพเหระ ได้ที่ (ไม่ใช่เมานะครับ) พ่อก็ถามว่า

พ่อ: เฮ้ย! เจ้าหุ้น jkl ทำไมราคามันหล่นมาเรื่อยๆ อย่างนี้ฟะ แกไปหาข้อมูลมาหน่อย จะกำไรขาดทุนน่ะมันไม่เท่าไรหรอก ไม่ขายก็ยังไม่ได้ขาดทุนอะไร แต่ไม่รู้เหตุผลแบบนี้ทำให้เป็นทุกข์นะ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "อวิชชา" คือความไม่รู้ ความไม่รู้ทำให้เป็นทุกข์
ผม: รู้แล้วล่ะพ่อ เพราะว่าเจ้าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีตลาดต่างประเทศเยอะ รายได้ก็ว่ากันเป็นดอลล่าร์ พอเงินไทยแข็งขึ้น คนก็คงกลัวว่ารายได้จะน้อยลง
พ่อ: แล้วมันจะน้อยลงจริงหรือเปล่า รายจ่ายล่ะ จ่ายเป็นเงินไทยหรือไง
ผม: เปล่าครับ วัตถุดิบก็เป็นดอลล่าร์เหมือนกัน แถมยังมีการประกันค่าเงินไว้อีกส่วนหนึ่ง
พ่อ: อ้าว งั้นก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่นา เอางี้ แสดงว่าที่กลัวๆ กันก็เป็นเพราะเรื่องค่าเงิน ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าจะกระทบมากนัก ยังไงก็ไม่ถึงกับขาดทุนหรือกำไรลดจนจ่ายปันผลไม่ได้ใช่ไหม จะขายตอนนี้ก็ขาดทุนเยอะ ถ้างั้นถือเฟ้ยถือ เดี๋ยวซื้อเพิ่มอีกหน่อย
ผม: ... (ยังไม่รู้จะพูดว่าไง ยอมรับว่าคิดไม่ทัน... ฮ่าๆๆ)

ผมไม่เจอพ่ออีกหนึ่งสัปดาห์ พอมาพบกันอีกครั้งหนึ่งพ่อก็บอกว่าพ่อซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่มที่ราคาต่ำกว่าเดิมราวๆ 15%

พ่อ: พ่อซื้อเจ้า jkl เพิ่มมาอีก . . . หุ้นนะ เก็บๆ เอาไว้
ผม: อ้าว! ซื้อแล้วหรือพ่อ อ่ะ ไม่เป็นไรครับ คงไม่เสียหายหรอก ที่แน่ๆ บริษัทมีกำไรและไม่เจ๊งแน่นอน คิดง่ายๆ เดี๋ยวเราถือรับปันผลเล่นๆ แล้วพอมันเด้งขึ้นมาเท่าทุน เราขายทิ้งก็เท่ากับได้ปันผลฟรีๆ
พ่อ: เอาน่า ดูมันสักพัก ให้โอกาสหน่อย เห็นโตมาได้ตั้งนานนี่นาตามที่แกบอก พื้นฐานบริษัทจะดีเลวมันไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแค่ข้ามวันหรอก มันต้องใช้เวลา อาจจะนานเป็นปีๆ ก็ได้ หุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ นี่เป็นการคาดการณ์อนาคตและซื้อขายอนาคตกันนานๆ บางทีนานเกินไปมากด้วย
ผม: ก็จริงนะพ่อ เห็นราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลงแต่ละวันแล้วปวดหัว เรียกว่าไม่ได้เป็นไปตามพื้นฐานของมันเลย ธุรกิจอะไรจะเปลี่ยนสภาพได้เร็วขนาดนั้น วิ่งตามข่าวชัดๆ เพราะข่าวไม่ต้องใช้เวลา...

เราถือหุ้นตัวนั้นไว้ จนจ่ายปันผลรอบครึ่งปีมาหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านั้น หุ้นราคาตกต่ำสุดลงไปกว่า 30% ของราคาแรกที่เราเข้าซื้อ แต่ว่าเราวางแผนที่จะซื้อหุ้นนี้ในจำนวนเงินหนึ่งๆ จึงไม่ได้เข้าซื้อเพิ่มเติมอีก ปันผลที่ได้ก็เอาเข้าธนาคารแล้วก็ไม่ได้สนใจหุ้นนี้อีกเลย แล้วราคาก็กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ผมนึกในใจว่า ถ้าวันที่หุ้นตกลงมากว่า 30% นั้น เรายังมีงบประมาณสำหรับหุ้นตัวนี้อยู่ ผมคงต้องบอกให้พ่อซื้อเพิ่มแน่นอน แต่เมื่อเราได้ซื้อมันตามงบประมาณแล้ว ก็จะไม่ซื้อเพิ่มอีก จนราคาหุ้นตัวนี้ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเท่าๆ กับราคาทุนเฉลี่ยที่ซื้อเข้ามา เท่ากับได้ปันผลมาฟรีแล้ว โดยใช้เวลาไม่นานนัก สุดท้ายเราก็รู้ว่าเราคิดไม่ผิด และรู้ดีว่าการรอ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในหลายขณะ ตลอดจนสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการซื้อหุ้นตัวนี้ก็คือการที่เราวางกลยุทธ์การเข้าซื้อไม่ดีพอ นับว่าเป็นเรื่องที่ผมกับพ่อต่างกันเอามาก เพราะผมจะวางแผนการเข้าซื้อในคนละลักษณะกับพ่อ (โดยเป็นการทะยอยเข้าสะสมในลักษณะกึ่งพื้นฐาน โดยซื้อจำนวนมากขึ้นๆ ที่แนวรับทางพื้นฐานและผลตอบแทน) แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อไม่มีโอกาสรู้ราคาเคลื่อนไหวของหุ้นอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับผม แต่ข้อเสียนั้นกลับกลายเป็นข้อดีได้ในหลายโอกาส เพราะการที่ไม่ต้องจับจ้องกังวลอยู่ทุกๆ วันนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

LOU SIMPSON'S INVESTMENT PRINCIPLES

Lou Simpson manages his portfolio according to five basic principles. He outlined these timeless principles in GEICO’s 1986 annual report, and he explained them at greater length in an interview with the Washington Post the following year:

1. Think independently. We try to be skeptical of conventional wisdom, he says, and try to avoid the waves of irrational behavior and emotion that periodically engulf Wall Street. We don’t ignore unpopular companies. On the contrary, such situations often present the greatest opportunities.

2. Invest in high-return businesses that are fun for the shareholders. Over the long run, he explains, appreciation in share prices is most directly related to the return the company earns on its shareholders’ investment. Cash flow, which is more difficult to manipulate than reported earnings, is a useful additional yardstick. We ask the following questions in evaluating management: Does management have a substantial stake in the stock of the company? Is management straightforward in dealings with the owners? Is management willing to divest unprofitable operations? Does management use excess cash to repurchase shares? The last may be the most important. Managers who run a profitable business often use excess cash to expand into less profitable endeavors. Repurchase of shares is in many cases a much more advantageous use of surplus resources.

3. Pay only a reasonable price, even for an excellent business. We try to be disciplined in the price we pay for ownership even in a demonstrably superior business. Even the world’s greatest business is not a good investment, he concludes, if the price is too high. The ratio of price to earnings and its inverse, the earnings yield, are useful guages in valuing a company, as is the ratio of price to free cash flow. A helpful comparison is the earnings yield of a company versus the return on a risk-free long-term United States Government obilgation.

4. Invest for the long term. Attempting to guess short-term swings in individual stocks, the stock market, or the economy, he argues, is not likely to produce consistently good results. Short-term developments are too unpredictable. On the other hand, shares of quality companies run for the shareholders stand an excellent chance of providing above-average returns to investors over the long term. Furthermore, moving in and out of stocks frequently has two major disadvantages that will substantially diminish results: transaction costs and taxes. Capital will grow more rapidly if earnings compound with as few interruptions for commissions and tax bites as possible.

5. Do not diversify excessively. An investor is not likely to obtain superior results by buying a broad cross-section of the market, he believes. The more diversification, the more performance is likely to be average, at best. We concentrate our holdings in a few companies that meet our investment criteria. Good investment ideas--that is, companies that meet our criteria--are difficult to find. When we think we have found one, we make a large commitment. The five largest holdings at GEICO account for more than 50 percent of the stock portfolio.

Buffett, also quoted by the Washington Post, Lou has made me a lot of money. Under today’s circumstances, he is the best I know. He has done a lot better than I have done in the last few years. He has seen opportunities I have missed. We have $700 million of our own net worth of $2.4 billion invested in GEICO’s operations, and I have no say whatsoever in how Lou manages the investments. He sticks to his principles. Most people on Wall Street don’t have principles to begin with. And if they have them, they don’t stick to them.





Note: Simpson’s (GEICO) and Lynch’s (Fidelity Magellan) returns are before tax and before management fees, and are stated as a return on equity. Lynch’s returns are before a 3% load to buy into the fund. Berkshire’s returns are after tax and after management fees, and are stated as increases in book value, not market price. The S&P 500 returns are before tax and before management fees, and include reinvested dividends.

จากหนังสือ The Warren Buffett CEO

วันเสาร์ที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เล่นหุ้นอย่างไรให้มีความสุข

เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่คนเล่นหุ้นมักเครียด บางคนถึงขั้นนอนไม่หลับเพราะกลัวหุ้นตก บางคนเห็นข่าวดีๆมากลัวตกรถก็นอนไม่หลับอีก นับว่าเป็นปัญหาที่คนเล่นหุ้นต้องเคยเจอ

มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมถึงเกิดอาการเหล่านั้น คนที่กลัวหุ้นตกเกิดจากความไม่มั่นใจในหุ้นที่ตัวเองซื้อมา การกลัวตกรถก็มาจากความโลภ วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการทำตัวเป็นนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการ

การที่เราใช้วิธีคิดแบบการทำธุรกิจมาซื้อหุ้นนั้นจะทำให้เรามีความรอบคอบมากขึ้น หาข้อมูล ดูงบการเงิน วิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ถ้าลงพื้นที่ให้เห็นกับตาได้ก็ทำ เมื่อรวบรวมทุกอย่างได้จนมากำหนดมูลค่าธุรกิจนั้นๆได้ ก็มาดูราคาบนกระดาน ถ้าถูกกว่ามูลค่าที่เราประเมินได้แสดงว่าคุ้มค่าที่เราจะลงทุน ยิ่งราคาต่ำมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น ถ้าซื้อแล้วราคามันยังคงลงต่อไปก็ไม่ต้องกลัวครับ ถ้ามั่นใจว่าทำการบ้านมาดีพอ ถือเป็นโอกาสดีๆในการซื้อเพิ่มได้อีก แพงกว่านี้ยังกล้าซื้อ แล้วเค้าลดราคาให้ทำไมถึงกลัวล่ะ

เมื่อได้บริษัทที่เราต้องการมาแล้ว วิธีที่จะทำให้เรามีความสุขก็คือไปใช้บริการบริษัทของเราครับ ถ้าซื้อหุ้นร้านอาหารก็พาครอบครัวไปนั่งทานข้าวกัน ถ้าเกิดมีลูกค้าเต็มร้าน คุณจะมีความสุขมากๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภคก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แต่เปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อที่บริษัทของเราเป็นผู้ผลิตซะ บางทีอยู่บ้านเฉยๆแล้วเห็นโฆษณาจากทีวี หนังสือ หรือจากไหนก็แล้วแต่ ก็ทำให้เรามีความสุขได้ครับ

อยากให้ทุกคนแยกให้ออกว่าราคาบนกระดานเป็นคนละส่วนกับมูลค่าบริษัท เวลาราคาตกพนักงานและผู้บริหารก็ยังคงทำงานตามปกติ แรงไม่ได้ตกไปตามราคาหุ้น ทุกคนต้องทำงานตามหน้าที่ ผู้บริหารมีหน้าบริหารบริษัทให้ดีที่สุด ลูกค้าก็ไม่ได้ซื้อของน้อยลงตามราคาหุ้น ถ้าราคาตกมากๆควรจะต้องมาดูว่าเกิดจากอะไร ถ้าปัญหาไม่ได้มาจากตัวบริษัทก็ยิ้มสู้ ถ้ามีเงินอยู่ถือเป็นโอกาสดีๆที่จะได้เพื่มสัดส่วนความเป็นเจ้าของครับ

อย่าตกเป็นทาสของราคาที่ขึ้นลง จงเป็นเจ้านายของมัน ถ้าทำไม่ได้ก็ปิดจอเทรดแล้วเอาเวลาไปหาข้อมูลบริษัทเพิ่มหรือไปเยี่ยมกิจการบ้างก็ไม่เลวนะครับ

วันศุกร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Disposition Effect

ทนถืออยู่บนดอยตั้งนาน พอขึ้นมารับแล้วรีบขาย ???

ขายหุ้นที่ได้กำไร แต่ถือหุ้นที่ขาดทุน ???


เรื่องนี้เป็นเรื่องของจิตวิทยาล้วนๆ คือไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง

ทนถือหุ้นที่ขาดทุนนานๆ พอราคาขึ้นมาเท่าทุนกลับขายทิ้ง น่าแปลกนะครับ ถือไว้ให้เสียเวลาทำไมตั้งนาน

การถือหุ้นที่ขาดทุนและขายหุ้นที่ได้กำไร น่าแปลกเช่นเดียวกัน หุ้นที่ได้กำไรน่าจะเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มดีต่อไปกลับขายแต่ถือหุ้นแย่ๆที่ราคาลดลงเรื่อยๆไว้

ในหนังสือจิตวิทยาการลงทุนได้เรียกพฤติกรรมนี้ว่า Disposition Effect
ผู้คนมักจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ตัวเองเสียใจ(ขายขาดทุน) แต่จะเสาะแสวงหาความภูมิใจ(ขายได้กำไร)
ถ้าต้องการจะซื้อหุ้นตัวนึงแต่ไม่มีเงินแล้ว และต้องขายหุ้นในพอร์ทออกมาซื้อ คนส่วนมากมักจะเลือกขายหุ้นที่ได้กำไร แล้วเก็บหุ้นที่ขาดทุน
เพราะเป็นการยืนยันความถูกต้องที่ซื้อหุ้นตัวที่กำไรมา
ส่วนตัวที่ขาดทุนรอขายตอนกำไรเพื่อยืนยันความถูกต้องของตัวเอง จึงต้องถือไว้ก่อน

ลองดูครับว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้รึเปล่า

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

มีประสบการณ์ในการเล่นหุ้นมากี่ปีแล้วครับ และคิดเองหรือเล่นตามเซียนครับ

ผมมีประสบการณ์มายังไม่ถึง2ปี พ่อแม่ไม่ใช่คนเล่นหุ้นซะด้วย ผมถือว่าผมยังเป็นมือใหม่มากๆสำหรับตลาดหุ้น

ผมว่าในช่วง3ปีแรกของการเข้ามาเล่นในตลาดนี้เป็นการเรียนรู้และค้นหาแนวทางการเล่นที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง ดังนั้นผมถือว่าคนที่ได้กำไรในช่วง3ปีแรกนี้ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จครับ อาจจะฟลุ๊กก็ได้ ส่วนคนที่ขาดทุนก้อต้องหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป แนวทางที่เหมาะสมนี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็น vi vs daytrade หรืออะไรก็ตาม ขอแค่เล่นแล้วมีกำไรก็พอครับ

พอเริ่มปีที่3 จะเป็นปีที่วัดผลกันจริงๆ ผลที่ได้ในปีนี้น่าจะเป็นการวัดว่าสามารถที่จะทำกำไรได้ในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ ถ้าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำถือว่าสอบผ่าน(ในขั้นต้นเท่านั้น) ถ้าจะวัดผลจริงๆควรจะมีประสบการณ์มากกว่า12ปีขึ้นไปและสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะถือว่าครบรอบcycleพอดี น่าจะผ่านวิกฤติต่างๆมาเกือบครบแล้ว

แต่ถ้าเล่นมา12ปีโดยมีกำไรเยอะแยะ แต่ลอกเค้ามาถือว่าไม่ผ่านเช่นเดียวกันครับ น่าจะแย่กว่าน้องใหม่ที่เข้ามาปีแรกแต่พยายามหาหุ้นเองซะอีก ลอกได้ครับแต่ควรจะหาเหตุผลต่างๆมาประกอบได้เช่นบริษัทนี้ทำกิจการอะไร แนวโน้มดีรึป่าว มีกำไรเท่าไหร่ กราฟเป็นยังไง และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย ก่อนซื้อควรต้องรู้จุดซื้อ-ขาย(สำหรับคนที่เล่นรอบ) ควรรู้มูลค่าของบริษัท(สำหรับ vi) ควรรู้พฤติกรรมของหุ้น(สำหรับชาว daytrade) ถ้ายังถามจุดซื้อจุดขายจากคนอื่นอยู่ แสดงว่าไม่คิดจะขวนขวายแล้วพยายามหาแนวทางของตัวเองเลย แนะนำว่าให้ไปเริ่มต้นอ่านหนังสือใหม่ครับ กลับไปเรียนรู้ใหม่ เพราะไม่คนที่จะคอยมาบอกจุดซื้อจุดขายได้ทุกวันหรอก

อีกอย่างนึงครับ การซื้อหุ้นตามคนอื่นจุดซื้อ-ขายของแต่ละคนก้อต่างกัน หุ้นตัวเดียวกัน ทำไมบางคนกำไร ทำไมบางคนขาดทุน อย่าง trc ผมซื้อตั้งแต่ผมแรกที่ผมบอก ต้นทุนอยู่ที่4บาทกว่าๆ แต่เห็นหลายๆคนมาซื้อที่5บาท คนที่คิดเองจะได้เปรียบครับเพราะเค้าดูหุ้นตัวนั้นตั้งแต่แรก(ผมเคยซื้อที่2.1ด้วยครับเมื่อปีที่แล้วขายรอบนั้นหมดไปแล้ว) ทำการบ้านมาแล้ว และรู้ว่ามันจะวิ่งยังไงบ้าง แต่คนที่ซื้อตามไม่รู้แน่ๆ ถือไว้โดยที่ยังไม่รู้ว่าบริษัทมันดียังไง ได้กำไรยังไง ราคาตกก็นอนไม่หลับ แถมไม่กล้าขายเพราะไอคนแนะนำมันยังไม่ยอมขายเลย น่าจะมีอะไรดีๆ(กลัวขายหมู) ถ้ายังเล่นแบบนี้นะครับโดยที่ไม่คิดจะหาวิธีเล่นเอง ผมว่าเลิกเล่นดีกว่าครับ(ขอโทษด้วยที่พูดตรงไปหน่อย) ลองคิดดูแล้วกันว่าไปเชื่อคนที่ไม่รู้จัก ซื้อหุ้นตามเค้า ถ้าถูกหลอกละครับ เช่นผมอาจจะรอปล่อยของก็ได้ใครจะไปรู้ เกมส์ในตลาดหลักทรัพย์มีกลโกงเยอะแยะครับ โลกของทุนนิยมคือการล่าทุนครับ ประมาณว่าล่าอาณานิคมในสมัยก่อน พวกต่างชาติกับกองทุนมีทุนหนา เปรียบเสมือนมีกองกำลังขนาดใหญ่ แต่รายย่อยมีทุนน้อย สู้ไม่หรอกครับ ยิ่งวิ่งตามคนอื่นไปสู้โดยไม่รู้ว่าจะชนะรึป่าวแต่เชื่อว่าชนะเพราะตามคนเก่ง ผมว่ามันตลกครับ ถ้ากองกำลังของเรามีน้อย ก็ควรทำให้กองกำลังเก่งและแข็งแกร่งครับ แต่ควรจะเริ่มสร้างความแข็งแกร่งจากแม่ทัพก่อนครับ ถ้าแม่ทัพเก่งต่อไปกองทัพเล็กๆจะยิ่งใหญ่ได้ แต่ถ้าแม่ทัพห่วยๆกองทัพใหญ่ๆจะตายหมดได้ครับ

ฝากไว้ครับเพราะผมอยากให้ทุกๆคนเดินได้ด้วยลำแข้งของตัวเองมากกว่า ส่วนผมยังต้องฝึกฝนอีกเยอะครับ

วันเสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Opportunity Day

Opportunity Dayถือเป็นวันแห่งโอกาสอย่างแท้จริงที่นักลงทุนจะได้เข้าใจในกิจการมากขึ้นและประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลได้มากทีเดียว

Opportunity Day จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์
ใช้เวลาแค่1ชั่วโมง ครึ่งไปนั่งฟังผู้บริหารระดับสูงที่นำทีมม่ให้ข้อมูลของบริษัท มีเอกสารและการบรรยาย ซึ่งทำให้เห็นภาพการประกอบธุรกิจอย่างชัดเจน ทำให้เราเห็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และแนวโน้มของกิจการ นับว่าคุ้มค่ามากครับ นอกจากนั้นยังมีการQ-Aหรือถาม-ตอบด้วย ซึ่งในOpp Dayจะมีนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์มานั่งฟังพร้อมกันกับเราด้วย เพราะฉะนั้นมีคนทำการบ้านมาเยอะแน่นอน การที่นักลงทุนรายย่อย,นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ช่วยกันซักถาม จะทำให้เราได้รับข้อมูลในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น และมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย

ตั้งแต่ต้นเดือนหน้าจะเริ่มมีOpp Dayจัดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ ติดตามหาข้อมูลว่าบริษัทที่เล็งๆไว้จะมาOpp Dayวันและเวลาไหน ได้ที่เว็บไซท์ของ TSI Settradeหรือโทรไปถามได้ที่02-229-2222ครับ

อย่าพลาดโอกาสดีๆนะครับ

วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงในตลาดหุ้นไทย

น่าแปลกใจทีเดียวที่หุ้นพื้นฐานดีดีที่ผมกำลังหาข้อมูลอยู่ราคานิ่งมาก และบางตัวราคาปรับตัวลดลงไปซะด้วยสิ
ผมสังเกตุดูจึงได้รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บรรดาผู้คนต่างแห่กันเข้าไปซื้อหุ้นบิ๊กแคปกันเป็นจำนวนมาก บางคนทิ้งหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่พื้นฐานดีๆเพื่อเข้าไปเก็งกำไรกับบรรดากลุ่มน้ำมันและกลุ่มเรือ

ผมหวาดเสียวแทนจริงๆครับ เพราะดูก็รู้ว่านี่มันคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติชัดๆ สิ่งที่ผมวิตกมีอยู่3อย่างด้วยกัน
  1. ทันทีที่นักลงทุนต่างชาติถอนทุนไปเก็งกำไรที่อื่นต่อจะเกิดอะไรขึ้นกับนักลงทุนชาวไทยที่พึ่งซื้อหุ้นบิ๊กแคปในช่วงนี้
  2. ดัชนีSET INDEXที่ไม่มีความสมดุล โดยหุ้นเพียงแค่ไม่กี่ตัวสามารถกำหนดทิศทางของ SET INDEXได้
  3. การที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนดทิศทางดัชนีเสมือนกับตลาดแห่งนี้เป็นของชาวต่างชาติ

ผมคิดว่าทางตลท.น่าจะสอนให้นักลงทุนทราบถึงความหมายของการลงทุนที่แท้จริง สอนให้นักลงทุนชาวไทยลงทุนในกิจการ ต้องการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจมากกว่าที่จะไปสนใจราคาหุ้น ผมอยากรู้จริงๆว่าราคาของบรรดาหุ้นบิ๊กแคปขึ้นมามากในระยะเวลาอันสั้นเป็นเพราะตัวธุรกิจที่ดีขึ้นหรือเปล่า อย่างวันนี้PTT บวกประมาณ5% ถามว่าวันนี้วันเดียวบริษัทมีกำไรเพิ่ม5%รึเปล่า บางคนอาจจะบอกว่าราคาน้ำมันขึ้น แต่ผมว่าคงต้องแยกแยะให้ออกว่าปตท.ต้องซื้อน้ำมันเข้ามาเหมือนกันนะครับ ต้นทุนก็ควรจะสูงขึ้น นักลงทุนควรที่จะไปดูว่าภาคธุรกิจอะไรในปตท.ได้กำไร และส่วนไหนบ้างที่ขาดทุน ผมไม่ได้หมายความว่าปตท.ไม่ดีนะครับ แต่ควรจะพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วหรือที่จะซื้อหรือขาย ถ้าคุณเห็นว่าดีจริงคุณน่าจะซื้อตั้งแต่ราคาต่ำๆ แล้วถ้าบริษัทขอถอนตัวออกจากตลาดคุณจะยังกล้าถืออยู่รึเปล่า

จริงๆแล้วผมคิดว่าน่าจะห้ามเล่น net(ซื้อขายหักลบกันภายในวันเดียว)กับหุ้นทุกตัว และใครถือหุ้นต่ำกว่า3เดือน น่าจะเสียภาษีจากกำไรที่ได้ เหตุผลที่ต้องเป็น3เดือนเพราะอยากให้ดูผลประกอบการของบริษัทเป็นหลักให้การตัดสินใจซื้อ-ขาย เรื่องset indexที่ไม่มีความสมดุลน่าจะมีวิธีการแก้บางนะครับแต่ผมไม่ทราบกลไกทางนี้จริงๆเลยไม่อยากออกความคิดเห็นใดๆ

เรื่องนักลงทุนต่างชาติที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาซื้อ-ขาย ส่งผลต่อตลาดหุ้นบ้านเรามากทีเดียว แต่ปัญหานี้น่าจะลดลงไปถ้านักลงทุนบ้านเราเป็นนักลงทุนกันจริงๆไม่ใช่นักเก็งกำไร ซื้อกิจการดีๆในราคาที่เหมาะสมแล้วถือไปเรื่อยๆ คนไทยทุกๆคนน่าจะมีส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการของชาวไทยกัน จริงๆผมแอบหวังไว้ว่าคนไทยทุกสาขาอาชีพ น่าจะได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน มันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ทำให้เราหันมาอุดหนุนบริษัทของคนไทยด้วยกันเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงภายในประเทศ และที่สำคัญเงินปันผลจะช่วยให้เรามีเวลาให้ครอบครัวกันมากขึ้น ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ระยะเวลาจะทำให้บริษัทโตขึ้นและสามารถจ่ายปันผลได้มากขึ้นเองครับ

วันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

5บริษัทไทยใน Forbes-Asia's 200 Best Under A Billion (ตอนแรก)

จากการจัดอันดับ 200บริษัทยอดเยี่ยมของเอเชียที่มีมูลค่าบริษัทไม่ถึง1,000ล้านเหรียญ ปรากฎว่ามีบริษัทไทยติดอันดับอยู่ด้วย5บริษัท แต่ผมจะขอบอกรายละเอียดคร่าวๆว่าบริษัทจากประเทศไหนบ้างที่ติดอันดับ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดอันดับมากที่สุด10อันดับ

ประเทศ (บริษัท)
1.Taiwan (41)
2.China (23)
3.Hong Kong (22)
Japan (22)
5.South Korea (21)
6.Singapore (20)
7.India (17)
8.Australia (12)
9.Malaysia (9)
10.Thailand (5)
11.New Zealand (4)
12.Pakistan (2)
13.Philippines (1)
Srilanka (1)

ดูจากอันดับประเทศที่มีบริษัทติดอันดับมากๆแล้วไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจโตแบบฉุดไม่อยู่น่าจะต้องติดเยอะ ส่วนด้านเทคโนโลยีไต้หวัน,ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นผู้ผลิตหลักๆของโลกอยู่แล้ว

ลองมาดูประเภทอุตสาหกรรมกันต่อดีกว่า(ผมเลือกเฉพาะ10อุตสาหกรรมที่มีบริษัทติดมากที่สุด)

อุตสาหกรรม (บริษัท) -ต่อด้วยตัวเลขที่น่าสนใจ
1.electrical components (20) -Taiwan (12) Japan (4) South Korea (2)
2.Semiconductors (13)-Taiwan(8) Japan (2) South Korea (2) และ Thailand (1) ของประเทศไทยคือบริษัท Team Precision
3.Industrial equipment (9)
4.metal working (8)
5.drugs (7)-India(3) South Korea (3) Hong Kong(1)
6.mining (5) Australia ทั้ง5เลยครับ
7.auto parts (4)
real estate development (4)
women apparel (4)
Chemicals (4)- มีบริษัท Thai Carbon Black ของไทยอยู่ด้วย

ประเภทของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเพราะเราได้รู้ถึงเทรนด์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ที่ผมสังเกตุเห็นคือไต้หวันมีบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดอันดับเยอะมาก ที่สำคัญยังมีกลุ่มที่ไม่ติดสิบอันดับนี้แต่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่2โดยตรงคือ semiconductor machinery (3) โดยมีบริษัทไต้หวันถึง2จาก3บริษัทในกลุ่มนี้
แต่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่บริษัท Team Precision หรือชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า Team อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย อย่างน้อยก็มีบริษัทไทยที่เกาะเทรนด์นี้ไปด้วย

พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้ผมจะมาต่อเรื่อง5บริษัทไทยว่ามีอะไรบ้างและใครทำธุรกิจอะไรกัน

วันพุธที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ความเสี่ยง

ทุกๆคนรู้ว่าการเล่นหุ้นมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการเล่นพนัน
หลายๆคนยังเปรียบตลาดหลักทรัพย์ว่าเป็นบ่อนเสรีแห่งหนึ่ง

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงละก็...การเล่นหุ้นจะเป็นการพนันที่ให้ผลแทนที่คุ้มค่าและมีเหตุผลมากที่สุดบนโลกนี้!!!
การพนันส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้เจ้ามือได้เปรียบ ส่วนการพนันที่เจ้ามือไม่ได้เปรียบคือการพนันที่ไม่มีเจ้ามือ
การพนันเป็นzero-sum-game เพราะเงินจะเคลื่อนที่จากผู้แพ้ไปยังผู้ชนะ(ส่วนใหญ่ก็เจ้ามืออีก)
ส่วนการเล่นหุ้นนั้นจริงๆแล้วเป็นwin-winครับ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพราะว่าการเล่นหุ้นคือการซื้อ-ขายส่วนของความเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ ฝ่ายขายได้โอนสิทธิในส่วนที่ตนเป็นเจ้าของไปยังฝ่ายซื้อ ฝ่ายซื้อก็จะกลายเป็นเจ้าของคนหนึ่งของบริษัทแห่งนั้น
บางคนอาจจะแย้งว่าในการซื้อ-ขายหุ้นก็มีคนขาดทุน!!!
ใช่ครับผมยอมรับว่า มีแต่ทุกคนย่อมรู้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยงครับ
ความการลงทุนนี้รวมไปถึงการลงทุนอื่นๆด้วย(เค้าไม่ได้บอกแค่ว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง) การลงทุนนับรวมไปถึงการซื้อพันธบัตร,หุ้นกู้,อสังหาริมทรัพย์,ทำธุรกิจ แม้กระทั่งฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ คุณอย่านึกนะครับว่าเงินฝากของคุณจะอยู่ครบ ทันทีที่คุณนำเงินไปฝากแบงค์ก็จะนำเงินของคุณไปให้คนอื่นกู้ ผมเดาได้เลยว่าถ้าคนสักครึ่งประเทศไปถอนเงินพร้อมกันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจากการที่แบงค์ปล่อยเงินกู้ออกไปนั้น โอกาสได้กลับคืนมาก็วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนไม่ได้ครับ และที่สำคัญอย่าคิดว่าธุรกิจธนาคารเป็นประเภทนอนกินยังไงก็ไม่เจ๊งนะครับ ย้อนกลับไปดูตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจดูได้ครับ ถ้าคิดว่ายุคนี้มันเป็นไปแล้วผมจะให้ลิ้งค์ไว้ไปเปิดดูเอาเองนะครับ เป็นสถานะทางการเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง http://www.settrade.com/simsImg/news/2007/07001449.t07

ขอย้อนกลับมายังเรื่องการพนันกับการเล่นหุ้นต่อ
การพนันมีเวลาที่จำกัดครับ เมื่อคุณวางเงินเดิมพันที่จะเล่นคุณจะมีเวลาทำเงินแค่ระยะเวลาสั้นๆที่เกมส์ดำเนินไป ถ้าเป็นไพ่อาจจะนานหน่อย แต่ถ้าเป็นการทอยลูกเต๋าล่ะ การพนันฟุตบอลก็เช่นเดียวกันคุณมีเวลา90นาทีที่จะทำได้แค่นั่งดู
ส่วนหุ้นคุณสามารถถือได้ตลอดชีวิต เป็นมรดกให้ลูกได้ด้วย และที่สำคัญระหว่างที่คุณยังอยู่ในเกมส์คุณจะได้ผลตอบแทน(เงินปันผล)กลับมา ยิ่งคุณอยู่ในเกมส์หุ้นนานเท่าไหร่คุณต้นทุนของคุณจะวิ่งกลับเข้ามายังกระเป๋าของคุณมากเท่านั้น
การเล่นพนันคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าไพ่ที่คุณจะได้คืออะไร พอจั่วมาแล้วคุณรู้ของคุณแต่ไม่รู้ของคู่แข่ง
ส่วนการเล่นหุ้นคุณได้รับรู้ข้อมูลของทั้งบริษัทที่คุณสนใจและของบริษัทคู่แข่งก่อนที่คุณจะวางเงินไป

การพนันโดยทั่วๆไปคุณจะเสียเงินลงทุนไปทั้งก้อนที่ลงไปในเกมส์นั้น
แต่การเล่นหุ้นคุณตัดขาดทุนตั้งแต่ยังเสียน้อยๆได้

ถ้าเกิดได้ล่ะ!
สมมติว่าได้กำไรเท่าตัวทั้งคู่ การพนันโดยทั่วไปจะจบเกมส์แค่นั้น ส่วนหุ้นคุณขายออกครึ่งนึง(เอาทุนคืนมาก่อน)แล้วถือต่อไปอย่างน้อยก็ได้หุ้นฟรีบวกกับอยู่ในเกมส์ต่อไปเพื่อลุ้นกำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้นและยังไม่เงินกินเปล่า(ปันผล)ไปเรื่อยๆ

แค่นี้คงจะพอสรุปได้ว่าถ้าหุ้นคือการพนันล่ะก็มันจะเป็นการพนันที่เสี่ยงน้อยที่สุดและน่าเล่นที่สุด เพราะกติกาเอื้อให้เราได้เปรียบเห็นๆ
แล้วผมก็เป็นคนนึงที่กล้าเสี่ยงไปกับการพนันชนิดนี้ไปแล้ว ^_^

วันเสาร์ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ความแตกต่างระหว่างเล่นหุ้นกับลงทุนในหุ้น

เวลามีคนถามว่าทำอะไรอยู่?
ผมอยากจะตอบว่าลงทุนในหุ้นก็ดูจะเป็นคำพูดที่สวยหรูเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่
จะตอบว่าเล่นหุ้นก็ไม่ได้เพราะผมไม่ได้เล่นแต่ผมลงทุนจริงๆ

สำหรับผมคำว่าเล่นหุ้นมีความใกล้เคียงกับการเล่นพนันมาก เพราะคนที่เข้าไปเล่นไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของบริษัทที่ตนเองซื้อเลย ที่แย่กว่านั้นบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร คนพวกนี้มักจะดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นซึ่งมันคาดการณ์ไม่ได้เพราะมันมีการผันผวนอยู่ตลอดเวลา บางทีก็อาศัยข่าว ซึ่งข่าวก็มีทั้งจริงและไม่จริงปนๆกันอยู่ แล้วณ.นาทีนั้นๆคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวที่ได้ยินมามันจริงรึเปล่า?

สำหรับคำว่าการลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ นักลงทุนจะต้องดูพื้นฐานของบริษัทว่าทำธุรกิจอะไร อยู่ในอุตสาหกรรมไหน ลูกค้าคือใครผลประกอบการที่ผ่านๆมาเป็นอย่างไร ผู้บริหารคือใครเชื่อถือได้แค่ไหน รวมทั้งปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบต่อบริษัทที่ตนเองต้องการจะเข้าไปถือหุ้นด้วย

สรุปก็คือผู้ที่ซื้อหุ้นจะกลายเป็นเจ้าของคนหนึ่งของบริษัทนั้น คุณลองคิดดูว่าคุณอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณรู้ข้อมูลของบริษัทเป็นอย่างดีหรือเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณถูกหลอกให้ซื้อ(ติดหุ้น)

แต่ส่วนมากยังคงใช้คำว่าเล่นกับทั้งสองประเภทดังนั้นผมจึงไม่สามารถฝืนได้ จึงขอใช้คำว่าเล่นหุ้นเช่นกัน แต่คุณต้องแยกให้ออกนะครับว่าเล่นหุ้นแบบการพนันกับเล่นหุ้นแบบทำธุรกิจต่างกันอย่างไร?