ผมขอยอมรับตรงๆเลยว่าเคยอยู่กทม.มา10ปีเคยนั่งรถเมล์ไม่ถึง10ครั้ง พอกลับไปอยู่ภูเก็ตก็อาศัยรถแม่ แล้วพ่อก็เมตตาให้รถมาขับ
ช่วงนี้ผมใช้รถเมล์บ่อยมากๆครับ และกำลังรู้สึกสนุกมากกับการขึ้นรถเมล์เพราะทำให้ผมได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่ผมไม่เคยมาสัมผัส ซึ่งมีผลดีต่อผมในฐานะนักลงทุนคนนึงที่จะได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆบ้าง
เอาล่ะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า โดยหลักทางกายภาพของมนุษย์ทุกคนย่อมต้องการความสบายและเมื่อต้องขึ้นรถเมล์ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทุกคนจะทำคือหาที่นั่ง ซึ่งที่นั่งมีจำนวนจำกัด(จากที่ผมมองคร่าวๆวันนี้น่าจะประมาณ28ที่นั่ง ในไทยรถแต่ละคันมีการวางที่นั่งไม่เหมือนกันอีก*_* ) ถ้ามีคนขึ้นไม่เยอะก็ไม่เป็นไรยังไงก็ได้นั่ง แต่ถ้าจำนวนผู้โดยสารมีมากกว่าจำนวนที่นั่งล่ะ แน่นอนว่าdemandมากกว่าsupplyแล้ว(เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวครับ) ดังนั้นคนที่อยากนั่งจะต้องหาstrategyให้ได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้นั่งแล้วยังต้องใช้หลักความน่าจะเป็น(probability)มาประกอบด้วย คุณลองนึกภาพดูว่าคุณทำอะไรบ้างตั้งแต่คุณอยู่ที่ป้ายรถจนกระทั่งขึ้นรถ
ส่วนตัวของผมนะผมจะพยายามเตรียมเงินให้พร้อมก่อนขึ้นรถ(เท่าที่จำได้เป็นนิสัยส่วนตัวตั้งแต่ขึ้นครั้งแรกๆแล้ว(culture)) การเตรียมพร้อมจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะแย่งเก้าอี้ครับ(market share)
มาดูที่กลยุทธแรกดีกว่า ผมสังเกตุเห็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้กัน Marking Strategy คือการประกบ1-1ครับ โดยถ้าจะให้ดีต้องเล็ง(focus)ไปยังบุคคล(target)ที่คุณคิดว่าเค้าน่าจะลงในอีกไม่กี่ป้ายข้างหน้า วิธีสังเกตุง่ายๆครับดูที่uniform ดูว่าทำงานที่บริษัทไหน อยู่โรงเรียนไหน มหาลัยไหน นั่นแหละจะทำให้คุณทราบจุดหมายปลายทางของเป้าหมายต่างๆแล้วเลือกmarkทันที(ข้อยกเว้นคือใช้ได้ในช่วงเช้านะครับ) ส่วนช่วงเย็นๆโปรดประกบนักเรียนและคนชราที่ไปจ่ายกับข้าวมาครับ โดยส่วนมากกลุ่มเป้าหมายนี้จะเดินทางในละแวกใกล้ๆบ้านของตน แต่Marking Strategyมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงมากๆ เคยโดนมาแล้วครับ
คือปกติแล้วผมจะเลือกใช้กลยุทธถัดไปแต่บังเอิญว่าเย็นวันนั้นรถแน่นมากๆ(แถมรถติดโคตรๆ)นึกดูว่าผมก้าวขึ้นรถไปแล้วไม่ต้องเดินไปไหนต่อเลยครับ แล้วด้วยสัญชาตญาณดันไปเห็นเด็กนักเรียน(หญิง)นั่งอยู่ ผมพยายามแทรกเข้าไปประกบติดทันที(อย่าคิดลึกนะแค่เด็กประถม) โดยกะว่าบ้านของเธอคงจะอยู่ไม่ไกลจากรร. แต่ทราบมั้ยครับว่าผมต้องยืนตลอดเส้นทางบนถนนลาดพร้าวตอนเย็นๆที่รถติดโครตๆหนำซ้ำผมยังลงก่อนเธอซะอีก(ผมลงที่นวมินทร์ครับ) ดังนั้นกลยุทธนี้ถ้าจับเป้าหมายผิดคือจบครับ แต่เพิ่มความน่าจะเป็นจากการไปยืนประกบที่นั่งฝั่ง2คนได้ครับ
มาดูสุดยอดstrategyที่ผมคิดว่ามีน้อยคนที่จะใช้ ไม่งั้นผมก็เป็นพวกโรคจิตอยู่ว่างไม่ได้ต้องหาอะไรมาคิดให้เปลืองสมอง
นี่คือZoning Strategy ถ้าหากคุณสามารถไปยืนคุมในตำแหน่งที่มีเก้าอี้3-5ตัวได้ล่ะโอกาสได้นั่งจะเพิ่มมากขึ้น งั้นผมจะใช้ประสบการณ์จริงๆเลย(ซึ่งผมจะใช้กลยุทธนี้ทุกครั้งยกเว้นกรณีข้างบนที่ผมควบคุมmacro economyไม่ได้) เอาของวันนี้เลยล่ะกัน
วันนี้ผมขึ้นรถตรงตลาดคลองเตยครับ เวลาประมาณ17.30 ผมกำเหรียญที่เตรียมไว้พอดีในมือ(organize)แล้ววิ่งขึ้นรถ ผมมองไปที่หน้ารถและท้ายรถ(looking for opportunity)แล้วประมวลผลทันทีว่าข้างหน้าคนยืนน้อยกว่า(ตำแหน่งที่เราจะไปยืนบนรถสำคัญที่สุดเลยครับ ถ้าคุณยืนตรงกลางความน่าจะเป็นที่จะได้นั่งต่ำมากกว่าส่วนหัวกับท้ายของรถเพราะคนที่ขึ้นรถมักจะเดินไปยืนตรงกลาง(จิตวิทยาซะงั้น)เท่ากับเราจะมีคู่แข่งเพิ่ม แล้วการไปอยู่ตรงส่วนกลางของรถจะเป็นแค่Marking Strategyเท่านั้น)ต่อๆ แล้วผมเดินมาข้างหน้าพร้อมกับรีบจ่ายค่าโดยสาร พอมาอยู่ที่ส่วนหน้าผมพบทำเลทอง(Dragon Position)ตรงฝั่งซ้ายมือของหัวรถ แต่มีหญิงสาวท่านนึงยืนอยู่แต่ไม่เป็นไรด้านขวาก็ทำเลดีเพราะพอผมไปยืนคู่กับหญิงสาวท่านนั้น(synergy)จะเป็นการปิดทางเข้าออกพอดี
หญิงสาวท่านนั้นจะstand byที่นั่งทันที3ที่ ส่วนของผม2ที่ เพราะที่ว่างข้างหน้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับเธอคือเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังนั้นไม่มีใครเดินแทรกมาได้(non-competitive) แต่ผมโชคดีมากๆที่เธอลงป้ายถัดไป ผมจึงขยับมายืนตรงตำแหน่งของเธอซึ่งผมวางตำแหน่ง(positioning)การยืนของผมทำให้ผมกันที่ได้ถึง5ที่ทางฝั่งซ้ายทั้งหมดโดยมีที่นั่ง3ตัวที่อยู่ข้างเครื่องยนต์ แล้วแถวคู่อีก2ตัวผมยืนด้านหน้าคนที่นั่งแถวคู่ตัวริมทางเดินเพื่อปิดช่อง3ที่ด้านหน้าพอกับเพิ่มโอกาสที่จะได้นั่งในอีก2ที่ข้างหลัง เพราะถึงแม้ว่าจะมีชายหนุ่มคนนึงยืนข้างๆที่นั่งด้านหลังของผม แต่เมื่อคนที่นั่งข้างหลังของผมลุกขึ้นเขาจะต้องถอยออกไปประมาณ1-2ก้าวเพื่อหลีกทาง ส่วนผมแค่ถอยหลังมานั่งก็จบแล้ว
นี่คือศาสตร์อย่างนึงให้ชีวิตประจำวันที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเงินลงหลักสูตรสำหรับผู้บริหารเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้มันอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง มันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นแล้วนำมันมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและธุรกิจการงานของคุณได้รึเปล่า ต่อให้คุณไปเรียนมาแพงๆแล้วคุณนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ก็ไม่ค่าอะไร แล้วคุณก็ยังแพ้คนเดินดินธรรมดาที่เรียนในมหาลัยชีวิตโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทแล้วล่ะครับ
ลองให้สิ่งรอบๆตัวมาตั้งโจทย์เล่นก็ได้นะครับ แล้วคุณจะพบว่าตำราเรียนทุกเล่มบนโลกนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม(คิด)
๑๐ ความคิดเห็น:
เขียนได้ฮาดีนะครับ มีแววเป็นนักเศรษฐศาสตร์ จะรออ่านอีกนะครับ
-สุมาอี้
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านแม่ทัพมาเม้นต์ให้ครับ
รออ่านหนังสือเล่มใหม่ของพี่สุมาอี้อยู่นะครับ
เค้าว่าบางที ถ้าเรื่องแค่นี้เรายังต้องคิดให้วุ่นวาย มันเป็นการเพิ่มภาระให้ชีวิตไปป่ะ ไม่รู้นะ แต่สำหรับเค้าถ้าขึ้นรถเมล์ไปตรงไหนพอยืนได้ก้อยืนตรงนั้นอ่ะ แค่นี้แหละ ส่วนไอ้เรื่องที่ว่าจาได้นั่งรึป่าว อันนั้นไม่ได้คิด
คิดแค่ว่าเมื่อไหร่จาถึงบ้าน ส่วนที่ว่าเรามักจะยืนประกบหนึ่งอ่ะ ก้อจิง แต่สำหรับเค้าที่ทำแบบนั้นก้อเพราะต้องการที่จับแค่นั้น ไม่ได้คิดว่าจารอนั่งต่อจากคนนี้ แต่ต่างคนก้อต่างความคิดเนาะ เอาเป็นว่านี่ก้อแค่อีกมุมมองนึงละกันนะ ^_^
....บี......
เจ๋งว่ะ คิดได้ไงว่ะ
ถ้านายเป็นแบบที่เขียนมาจริงๆนะ ขอบอกว่าอนาคตคงรุ่งแน่ๆ ถ้าทำธุรกิจคงประสบความสำเร็จแน่นอน
สำหรับcommentของคุณบีก็ต่างมุมมองกันครับ
ผมมองว่าคุณบีกับคุณหมึกเป็นคนละขั้วกันครับ
ผมว่าที่คุณปลาหมึกคิดแบบนั้นคงไม่ได้ตั้งใจหรอกแต่น่าจะมาจากการเรียนรู้ที่สั่งสมมาจนกลายเป็นพฤติกรรมของเค้า โดยที่เค้าอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ครับ
ปล.จะขอติดตามผลงานนะครับ เขียนได้สนุกดี(เห็นภาพเลย) และความคิดเฉียบขาดมากครับ
-------feng---------
เคยคิดเหมือนกันนะว่าเวลาจะขึ้นรถเมล์เนี่ย จะต้องอยู่ตำแหน่งไหนถึงจะขึ้นแล้วได้นั่งที่ว่าง ก็เริ่มกะตั้งแต่ยืนรอที่ป้ายรถเมล์เลย แต่พอเอาเข้าจริงโชคไม่เข้าข้างหรือการคาดการณ์ผิดก็ไม่รู้
กานต์สุดยอดเลยแฮะ
มาแล้ว
i most like this blog.. cool comparasion na kan
แต่ถ้าแกมาที่จีน แกจะหาทาร์เกทได้ไงวะ โอเค ยูนิฟอร์มแม่บ้าน พ่อบ้าน นักธุรกิจ (ชุดนักธุรกิจใครๆก็ใส่กัน เสื้อสูท กางเกงสแลค รองเท้าหนัง หุหุ) บางทีมันก็อยู่ที่ right time & right position at that time เห็นด้วยป่ะ
อื้ม ถูกของคุณบี นะ แต่ในบางส่วนคือเข้าใจว่า คุณไม่จำเป็นต้องคิดแบบที่คุณกานต์กล่าวมา ซึ่งถ้าถามตัวฉันเอง ฉันก้อคงไม่คิดหรอก (ไม่ค่อยได้ขึ้นรถเมล์)จากที่อ่านมา การคิดแบบของคุณกานต์ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเท่าไหร่ ถ้าคุณต้องการแค่ขึ้นรถและลงรถ แต่การคิดแบบนี้กับทุกๆสิ่ง คุณอาจลงทุนโดยการเสียเวลาคิด แทนที่จะไปคิดเรื่องอื่น แต่ค่าของการลงทุนโดยการคิดอย่างนี้ มันได้กลับมา เท่าที่ดูๆ มากกว่าการลุงทุนด้วยซ้ำ มันอาจไม่ได้ผลตอนนี้แน่นอน แต่ผลที่ได้ตอบแทนมา มันได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าความคิดของตัวเองมันอาจจะไม่ถูกต้อง แต่คนเราต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จะหยุดแค่นี้ไม่ได้
แสดงความคิดเห็น