ทำให้เราประสบกับปัญหาต่างๆ
ในหลายๆครั้งเราไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ เกิดอาการกลัวไม่กล้าขายขาดทุน
เมื่อเห็นเสียหายหนักๆแล้วยอมตัดใจขายก็สายไปซะแล้ว
ดังนั้นก่อนที่เราจะซื้อหรือเปิดสถานะ เราควรจะมีกลยุทธ์สำหรับป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันด้วย
ผมเลยมาแนะนำหนึ่งในเครื่องมือที่ส่วนใหญ่รู้จักกันดีอยู่แล้ว นั่นคือการกำหนดจุดที่จะตัดขาดทุนหรือเรียกว่า Cut Loss
แต่ผมจะเพิ่มเติมโอกาสในสถานการณ์ที่ราคาหุ้นขึ้นด้วย
เราจะใช้ Limit Risk โดยการกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์เอาครับ เช่น 2% 3% 5%
แต่เราจะไม่กำหนดโดยการใช้ราคาที่เข้าซื้อเป็นฐานตลอด
เราจะใช้การลอยตัวตามราคาหุ้นที่ขึ้นไป
โดยเราจะใช้ราคา high เป็นฐานครับ
ยกตัวอย่างเช่น ผมซื้อ Major เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่ราคา 6.65 บาท ผมจะใช้ 6.65 เป็นฐานก่อน
ราคาหุ้น Major ขึ้นไปได้สูงสุดที่ 7.00 บาท ผมเลื่อนมาใช้ 7.00 เป็นฐานแทน
แม้ราคาจะลงไป 6.95 บาท ผมก็ยังใช้ 7.00 เป็นฐาน เพราะมันสูงกว่า
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นมาดูตารางกันดีกว่า
enter คือจุดเข้า
high คือราคาสูงสุด
% คือการตั้ง Limit Risk ของเรา
limit คือจุดขายเมื่อราคาลงมาแตะจุดนั้น
sold คือการปรับตัวเลขให้ตรงตาม spread ที่ตลาดระบุไว้เพื่อให้ขายได้จริง
จะเห็นได้ว่าเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นไปแล้วเราเลื่อนจุดตามขึ้นไปด้วย ฐานที่เราจะ cut lossจากขาดทุนจะขาดทุนน้อยลง
เมื่อราคาขึ้นไปอีกจากขาดทุนจะเท่าทุน(ผมไม่ได้รวมค่า com) จนกระทั่งจุด cut loss จะไม่ใช่ cut loss อีกต่อไป เพราะมีกำไรแล้ว
กลยุทธ์นี้นอกจากจะช่วยไม่ให้เราเสียหายมากแล้ว ในกรณีที่เราเข้าถูกจังหวะ มันจะช่วยไม่ให้เราลังเลที่ถือต่อไป(Let Profit Run)
หลายคนที่ซื้อแล้วได้กำไรแต่พอราคาลงมาก็ถือจนกลายเป็นขาดทุน เพราะให้บางทีโลภเกินไป หวังว่ามันจะกลับตัว แต่ความจริงอาจจะหมดรอบไปแล้ว
กลยุทธ์นี้ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้เช่นกัน
แม้จะไม่ได้ขายในราคาที่สูงที่สุด(อย่าหวังจะได้ซื้อต่ำสุดและขายสูงสุด)
แต่นับเป็นทางเลือกที่ดีในการนำไปใช้ในระยะยาว
๔ ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
ผมว่าก็ดีนะครับ
แต่ผมมีข้อสงสัยว่า ถ้าเล่นวิธีนี้ ควรใช้กับช่วงเวลาอะไร
day week month?
เพราะราคาหุ้นมันขึ้นลงเร็ว(สมัยนี้)
ผมว่าใช้ได้ทุกช่วงเวลานะ
ผมมองว่านี่เป็น exit strategy น่ะครับ
ไม่ใช่ entry หรือ enter (ซึ่งควรจะใช้กราฟหรือปัจจัยพื้นฐานในการเข้าซื้อ)
วิธีนี้ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เชิงรับ
แต่จะได้ผลดีจริงๆในยามที่หุ้นนั้นๆเป็น bull
นั่นแปลว่าเราอาจจะต้องถือยาวๆก็ได้
และยามหุ้นเป็น bear เราอาจจะต้องตัดขาดทุนภายในเวลาไม่ถึงวันก็ได้
จุดหมายน่าจะเป็นการ let profit เมื่อเข้าถูกจังหวะ
และ cut loss เร็วเมื่อเราพลาด
ไว้ผมจะพยายามหากลยุทธ์มาแนะนำเรื่อยๆแล้วกันครับ
จะได้มีทางเลือกมากขึ้น ^^
มาอัพเดทการใช้กลยุทธ์นี้กันหน่อย
เมื่อวันอังคารที่ 30 มิถุนายนช่วงก่อนปิดตลาด
ผมได้ขาย Major ไปที่ราคา 6.80 (high สูงสุดนับจากที่ผมซื้อคือ 7.00)
ถ้าผมจะซื้อใหม่อีกครั้งก็ต้องรอจังหวะสวยๆ ซึ่งอาจจะแพงกว่าที่ขายหรือถูกกว่าก็ได้ หรือหาหุ้นอื่นที่สวยๆเล่นก็ได้
ตอนนี้ราคา Major อยู่ที่ 6.70
เมื่อกี้ลืมไป
ใช้เวลาในการถือครองหุ้นตัวนี้ 1 อาทิตย์พอดีครับ
แสดงความคิดเห็น