วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

การเก็งกำไรกับการลงทุน

การเก็งกำไรคือการตกปลา บางคนก็ได้ปลามาเป็นกอบเป็นกำทุกครั้ง บางคนก็เสียเหยื่อไปฟรีๆ บางคนอาจถึงขั้นตกเรือโดนปลากินอีกต่างหาก

การลงทุนคือการสร้างบ่อเลี้ยงปลา ค่อยๆสร้าง แรกๆได้ปลานิดเดียวแต่ลงทุนไปเยอะ นานๆเข้าก็แค่คอยดูแลไปเรื่อยๆก็มีปลาให้กินทุกวัน

เวลาผ่านไปสิบปี

คนตกปลาก็ต้องออกไปหาปลาเรื่อยๆถ้าอยากได้ปลา
คนเลี้ยงปลาไม่ต้องออกไปหาก็ได้ปลามากินทุกวัน

ไม่สงวนลิขสิทธิ์ กรุณาเผยแพร่

Last edited by CK on Thu Jun 19, 2003 1:36 pm; edited 1 time in total

วันเสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Opportunity Day

Opportunity Dayถือเป็นวันแห่งโอกาสอย่างแท้จริงที่นักลงทุนจะได้เข้าใจในกิจการมากขึ้นและประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลได้มากทีเดียว

Opportunity Day จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์
ใช้เวลาแค่1ชั่วโมง ครึ่งไปนั่งฟังผู้บริหารระดับสูงที่นำทีมม่ให้ข้อมูลของบริษัท มีเอกสารและการบรรยาย ซึ่งทำให้เห็นภาพการประกอบธุรกิจอย่างชัดเจน ทำให้เราเห็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และแนวโน้มของกิจการ นับว่าคุ้มค่ามากครับ นอกจากนั้นยังมีการQ-Aหรือถาม-ตอบด้วย ซึ่งในOpp Dayจะมีนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์มานั่งฟังพร้อมกันกับเราด้วย เพราะฉะนั้นมีคนทำการบ้านมาเยอะแน่นอน การที่นักลงทุนรายย่อย,นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ช่วยกันซักถาม จะทำให้เราได้รับข้อมูลในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น และมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย

ตั้งแต่ต้นเดือนหน้าจะเริ่มมีOpp Dayจัดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ ติดตามหาข้อมูลว่าบริษัทที่เล็งๆไว้จะมาOpp Dayวันและเวลาไหน ได้ที่เว็บไซท์ของ TSI Settradeหรือโทรไปถามได้ที่02-229-2222ครับ

อย่าพลาดโอกาสดีๆนะครับ

วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงในตลาดหุ้นไทย

น่าแปลกใจทีเดียวที่หุ้นพื้นฐานดีดีที่ผมกำลังหาข้อมูลอยู่ราคานิ่งมาก และบางตัวราคาปรับตัวลดลงไปซะด้วยสิ
ผมสังเกตุดูจึงได้รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บรรดาผู้คนต่างแห่กันเข้าไปซื้อหุ้นบิ๊กแคปกันเป็นจำนวนมาก บางคนทิ้งหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่พื้นฐานดีๆเพื่อเข้าไปเก็งกำไรกับบรรดากลุ่มน้ำมันและกลุ่มเรือ

ผมหวาดเสียวแทนจริงๆครับ เพราะดูก็รู้ว่านี่มันคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติชัดๆ สิ่งที่ผมวิตกมีอยู่3อย่างด้วยกัน
  1. ทันทีที่นักลงทุนต่างชาติถอนทุนไปเก็งกำไรที่อื่นต่อจะเกิดอะไรขึ้นกับนักลงทุนชาวไทยที่พึ่งซื้อหุ้นบิ๊กแคปในช่วงนี้
  2. ดัชนีSET INDEXที่ไม่มีความสมดุล โดยหุ้นเพียงแค่ไม่กี่ตัวสามารถกำหนดทิศทางของ SET INDEXได้
  3. การที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนดทิศทางดัชนีเสมือนกับตลาดแห่งนี้เป็นของชาวต่างชาติ

ผมคิดว่าทางตลท.น่าจะสอนให้นักลงทุนทราบถึงความหมายของการลงทุนที่แท้จริง สอนให้นักลงทุนชาวไทยลงทุนในกิจการ ต้องการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจมากกว่าที่จะไปสนใจราคาหุ้น ผมอยากรู้จริงๆว่าราคาของบรรดาหุ้นบิ๊กแคปขึ้นมามากในระยะเวลาอันสั้นเป็นเพราะตัวธุรกิจที่ดีขึ้นหรือเปล่า อย่างวันนี้PTT บวกประมาณ5% ถามว่าวันนี้วันเดียวบริษัทมีกำไรเพิ่ม5%รึเปล่า บางคนอาจจะบอกว่าราคาน้ำมันขึ้น แต่ผมว่าคงต้องแยกแยะให้ออกว่าปตท.ต้องซื้อน้ำมันเข้ามาเหมือนกันนะครับ ต้นทุนก็ควรจะสูงขึ้น นักลงทุนควรที่จะไปดูว่าภาคธุรกิจอะไรในปตท.ได้กำไร และส่วนไหนบ้างที่ขาดทุน ผมไม่ได้หมายความว่าปตท.ไม่ดีนะครับ แต่ควรจะพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วหรือที่จะซื้อหรือขาย ถ้าคุณเห็นว่าดีจริงคุณน่าจะซื้อตั้งแต่ราคาต่ำๆ แล้วถ้าบริษัทขอถอนตัวออกจากตลาดคุณจะยังกล้าถืออยู่รึเปล่า

จริงๆแล้วผมคิดว่าน่าจะห้ามเล่น net(ซื้อขายหักลบกันภายในวันเดียว)กับหุ้นทุกตัว และใครถือหุ้นต่ำกว่า3เดือน น่าจะเสียภาษีจากกำไรที่ได้ เหตุผลที่ต้องเป็น3เดือนเพราะอยากให้ดูผลประกอบการของบริษัทเป็นหลักให้การตัดสินใจซื้อ-ขาย เรื่องset indexที่ไม่มีความสมดุลน่าจะมีวิธีการแก้บางนะครับแต่ผมไม่ทราบกลไกทางนี้จริงๆเลยไม่อยากออกความคิดเห็นใดๆ

เรื่องนักลงทุนต่างชาติที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาซื้อ-ขาย ส่งผลต่อตลาดหุ้นบ้านเรามากทีเดียว แต่ปัญหานี้น่าจะลดลงไปถ้านักลงทุนบ้านเราเป็นนักลงทุนกันจริงๆไม่ใช่นักเก็งกำไร ซื้อกิจการดีๆในราคาที่เหมาะสมแล้วถือไปเรื่อยๆ คนไทยทุกๆคนน่าจะมีส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการของชาวไทยกัน จริงๆผมแอบหวังไว้ว่าคนไทยทุกสาขาอาชีพ น่าจะได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน มันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ทำให้เราหันมาอุดหนุนบริษัทของคนไทยด้วยกันเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงภายในประเทศ และที่สำคัญเงินปันผลจะช่วยให้เรามีเวลาให้ครอบครัวกันมากขึ้น ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ระยะเวลาจะทำให้บริษัทโตขึ้นและสามารถจ่ายปันผลได้มากขึ้นเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

5บริษัทไทยใน Forbes-Asia's 200 Best Under A Billion (ตอนจบ)

เอาล่ะครับทีนี้เรามารู้จักกับ5บริษัทของไทยที่ติดอันดับ Forbes-Asia's 200 Best Under A Billionที่คัดมาจาก20,000บริษัทในเอเชียกันดีกว่า(ขอเรียงตามตัวอักษรแล้วกัน)

บริษัทแรก บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) ชื่อในตลาดหลักทรัพย์ aprint
ราคาปิดณ วันที่10ตค.2550 ;13.70 บาท
เป็นเพียงบริษัทเดียวในหมวด publishing ที่ติดอันดับ

คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักบริษัทอมรินทร์ เพราะอมรินทร์เป็นเจ้าตลาดนิตยสารชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านและสวน,แพรว,ชีวจิตและอื่นๆอีกมากมาย และยังมีpocket bookที่เป็นของทางสำนักพิมพ์ในเครืออีกมากมาย อีกทั้งยังมีร้านค้าปลีกชื่อ "ร้านนายอินทร์" เรามารู้จักประวัติคร่าวๆกัน

จากกองบรรณาธิการเล็กๆที่ คุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ รวบรวมสมัครพรรคพวกและพนักงานจำนวนหนึ่งจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัดวารสารบ้านและสวน เริ่มผลิตนิตยสาร "บ้านและสวน" ฉบับแรกออกวางตลาดในเดือนกันยายน 2519 โดยอาศัยการพิมพ์จากโรงพิมพ์ภายนอก ต่อมาจึงได้มีการก่อตั้งโรงพิมพ์ในรูปของ ห้างหุ้นส่วนจำกัดอมรินทร์การพิมพ์ เพื่อพิมพ์นิตยสารเอง ขณะเดียวกันก็รับจ้างงานพิมพ์อื่นๆ ด้วย

กิจการที่ขยายตัวขึ้นทำให้บริษัทฯมีความจำเป็นต้องระดมทุน จึงได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น "บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน)"

ในปีเดียวกันนั้น บริษัทฯได้ขยายกิจการด้านการจัดจำหน่าย โดยตั้งบริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด และปัจจุบันบริษัทฯถือหุ้นอยู่ร้อยละ 19 ของทุนจดทะเบียน เพื่อทำหน้าที่ดูแลการจัดจำหน่ายสิ่งพิมพ์ทั้งหมด รวมถึงการจัดตั้งร้านค้าปลีกขึ้นโดยให้ชื่อว่า "ร้านนายอินทร์"

หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่คุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง ได้วางรากฐานไว้ คือการทำงานด้วยใจรัก และมุ่งเน้น การทำงานให้มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า ดั่งปณิธานที่ว่า

"เราทำงานเพื่อความรุ่งโรจน์ และความสุขของสังคม"

จาก "นิตยสารบ้านและสวน" บริษัทฯได้ขยายกิจการโดยการออกนิตยสารใหม่ๆ เป็นระยะ คือ นิตยสาร "แพรว", "สุดสัปดาห์", "ชีวจิต", "Health & Cuisine", "National Geographic ฉบับภาษาไทย", "Room" , "WE" , "Real Parenting" , "Shape" , "InStyle" และมีสำนักพิมพ์หนังสือเล่มอีก 13 สำนักพิมพ์ ผลิตหนังสือครอบคลุมหลากหลายกลุ่มนักอ่านทั่วประเทศ

ปัจจุบันกิจการของบริษัทสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สายงานคือ ธุรกิจสำนักพิมพ์ , ธุรกิจโรงพิมพ์ และ ธุรกิจจัดจำหน่าย บริษัท อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด เพื่อศักยภาพสูงสุดในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์คุณภาพสู่สังคมไทย

จุดแข็งของaprintคือgoodwillครับ พูดง่ายๆว่าตัวแบรนด์มีความแข็งแกร่งสูงมาก loyaltyค่อนข้างสูง แต่รายได้หลักไม่ได้มาจากการพิมพ์นะครับ มากจากค่าโฆษณาในหนังสือ แล้วการเปิดร้านนายอินทร์เป็นการส่งเสริมธุรกิจในเครือได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าถามว่าจะโตแบบก้าวกระโดดมั้ย? คำตอบคือไม่ครับ แต่จะโตแบบยังยืนมากกว่า (ใครสนใจหุ้นaprintก็ไปหาข้อมูลกันเองนะครับ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บริษัทที่สองคือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) ชื่อย่อBGH หรือที่คนรู้จักกันดีในนามโรงพยาบาลกรุงเทพ
ราคาปิดวันที่10 ตค. 2550 อยู่ที่ 40 บาท
เป็นบริษัทเดียวกลุ่มhospitalที่ติดอันดับ

ตงไม่มีใครไม่รู้จักเครือโรงพยาบาลกรุงเทพแน่นอน หลายๆคนคงเคยใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนรายนี้ ผมเองก็เป็นลูกค้า(ไม่ประจำ)ของที่นี่ จากประสบการณ์ส่วนตัวต้องยอมรับว่าการให้บริการดีจริงๆครับ ซึ่งที่นี่เน้นมากๆ เนื่องเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนและชาวต่างชาติ

ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพให้ความสำคัญอย่างยิ่งและได้ปรับระบบการบริหารงานให้กระชับ คล่องตัว เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการ และสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจจนในที่สุดโรงพยาบาลกรุงเทพ ก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานการบริการด้วยระบบคุณภาพ มอก./ISO 9002 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเทียบเท่ามาตรฐานโลกเป็นระยะเวลากว่า 27 ปี ที่โรงพยาบาลได้ถือก่อตั้งขึ้น และก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน อาคารที่เคยมีเพียง 6-7 ชั้น กลายเป็น อาคาร 16 ชั้น กลายเป็นสถานพยาบาลที่เป็นที่พึ่งของผู้ป่วยทุกชาติทุกภาษา สิ่งที่เรายังคงภาคภูมิใจและยึดถือเสมอมาคือ คำขวัญที่กล่าวว่า ณ สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์และความเมตตาปราณีมาบรรจบกัน

โรงพยาบาลกรุงเทพ มุ่งมั่นในการปรับปรุงคุณภาพงานบริการ และการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล รวมทั้งได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO 9002 รวมทั้งได้พัฒนาระบบคุณภาพอย่างต่อเนื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ของ ISO จนได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 ในปี 2544 และในปีเดียวกันนั้นได้รับรองมาตรฐานโรงพยาบาล (HA : Hospital Accreditation) จากสถาบันพัฒนา และรับรองมาตรฐานโรงพยาบาล (พรพ.) ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นในอันที่จะรักษาเกียรติคุณที่ได้รับ และพัฒนาให้เจริญขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นตลอดไป

ในปี พ.ศ. 2544
โรงพยาบาลกรุงเทพเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ได้รับรางวัลผู้ประกอบการดีเด่นประเภทธุรกิจบริการ (สาขาโรงพยาบาล) Prime Minister's Export Award 2001 จากกรมส่งเสริมการส่งออกกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่สามารถให้การบริการที่ดีเลิศต่อผู้ป่วยชาวต่างประเทศ จนสามารถนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทยจำนวนมาก และเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ในการรองรับผู้ป่วยชาวต่างชาติ โรงพยาบาลกรุงเทพได้เปิดศูนย์บริการผู้ป่วยต่างประเทศ ในระบบ One Stop Service พร้อมล่าม 26 ภาษา และหน่วยบริการฉุกเฉินทั้งทางบก และทางอากาศ ด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์สูง ที่พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับความปลอดภัยสูงสุด

โรงพยาบาลกรุงเทพ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการพัฒนาสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญศูนย์เฉพาะระบบอย่างครบวงจร ผู้ใช้บริการมั่นใจได้กับคุณภาพการบริการเหนือระดับโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมให้การดูและสุขภาพอย่างเท่าเทียมแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 และ Hospital Accreditation (HA) รับรอง และประกันคุณภาพตลอดจนได้รับการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาล ฉบับปีกาญจนาภิเษก HA เป็นครั้งที่ 2 จากสถาบันพัฒนารับรองคุณภาพโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการที่จะพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ และคงไว้ซึ่งมาตรฐาน จริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างต่อเนื่องตลอดมา

นอกจากนี้... โรงพยาบาลยังได้คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากกระบวนการรักษาพยาบาลต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงความปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ และสุขภาพอนามัยของบุคลากรทุกระดับซึ่งเป็นผู้ให้บริการโดยตรงต่อผู้ป่วย จึงได้นำเอามาตรฐาน ISO 14001 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม และมาตรฐาน มอก. 18001/OHSAS18001 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มาปรับใช้ภายในองค์กร และผ่านการรับรองระบบการจัดการทั้งสองจากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) เมื่อเดือนมีนาคม 2546

จุดเด่นคือบริการที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงมากในระดับนานาชาติ อาจจะแพ้BHหน่อยแต่มีสาขาครอบคลุมไปทั่วหัวเมืองสำคัญๆในไทย และยังมีสาขาในต่างประเทศอีกมากมาย นับว่าเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บริษัทต่อมา Thai Carbon Black ชื่อย่อTCB
ราคาปิดวันที่10 ตค.2550 อยู่24.30
เป็นหนึ่งใน4บริษัทจากกลุ่มchemicalsที่ติดอันดับ

ผมยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จักบริษัทนี้ดีพอครับ รู้คร่าวๆว่าเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผงเขม่าดำ (Carbon Black) ทั้งในและ
ต่างประเทศซึ่งใช้มากในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ ตัววัตถุดิบที่ใช้ใน การผลิตผงเขม่าดำคือ ตัว (Carbon Black Feedstock Oil) สั่งซื้อมาจากสหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตปัจจุบัน ทางบริษัทฯ ผลิตเต็มกำลังการผลิต 65,000 ตันต่อปี TCBส่งออกCabon Blackให้กับต่างประเทศในสัดส่วน50% ประเทศหลักๆคือญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บริษัทที่4 TEAM PECISION ชื่อย่อว่าteam
ราคาปิดณ วันที่10ตค. 2550 ;9.25บาท
เป็นหนึ่งใน13บริษัทในกลุ่ม semiconductors ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่อันดับสองในการจัดอันดับ

teamประกอบธุรกิจผลิตและประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ตามความต้องการของลูกค้าภายใต้การบริหารของคณะกรรมการร่วมกัน โดยที่การจัดสรรงานและลูกค้าสำหรับบริษัทและบริษัทย่อยจะเป็นไปตามความเหมาะสมของเครื่องจักร และขั้นตอนการผลิตของแต่ละโรงงาน โดยที่บริษัทซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังจากบริษัทย่อย มีเครื่องจักรที่มีความทันสมัย และมีขั้นตอนการผลิตที่ต่อเนื่อง รวมทั้งมีขั้นตอนการผลิตเฉพาะอย่าง เช่น Chemical Compound Encapsulation และการประกอบแผงวงจรอ่อน (Flexible Circuit)

ลูกค้าของบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของยี่ห้อสินค้า (Original Brand Name Producer) ผู้ผลิตสินค้าต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer : OEM) หรือผู้รับจ้างออกแบบผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิกส์ (Design House) จะเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ และบริษัทจะรับผลิตและประกอบแผงวงจรอิเลคทรอนิกส์ รวมทั้งการทดสอบการทำงานของแผงวงจรอิเลคทรอนิกส์ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติและการทำงานตามที่ลูกค้าต้องการ

ลูกค้าของteamมีsony pioneer sharp ford oticon เป็นต้น

จุดเด่นของทีมอยู่ที่การควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี โอกาสที่สินค้าจะชำรุดเสียในการผลิตมีแค่ 3/1,000,000 หรือ0.000003% ที่สำคัญผู้บริหารทำงานจริงจังไม่ขี้โม้ครับ(ชอบมากๆ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายแล้วครับ บริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือuec
ราคาปิด ณ วันที่10 ตค.2550 ;38บาท

ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างออกแบบ การผลิต และการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในกระบวนการ
ผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด (made to order) โดยผลิตภัณฑ์หลักของ
บริษัทฯแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. ภาชนะความดัน (Pressure Vessel) ได้แก่ ภาชนะบรรจุสารเคมีที่ถูกออกแบบให้สามารถทนต่อ
แรงดันในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมได้ ตัวอย่างสารเคมี เช่น น้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลวแอมโมเนีย
คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจน เป็นต้น
2. ชิ้นส่วนเครื่องจักร (Machinery Parts) เช่น ชิ้นส่วนเครื่องปรับอุณหภูมิอากาศ (Part of Air
Preheater) ชิ้นส่วนเตาเผา (Part of Incinerator) ปล่องควันไอเสียโรงงาน (Stack) และเสื้อพัดลม
(Fan Casing) เป็นต้น
3. โครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) โดยส่วนใหญ่ใช้สำหรับในงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม
ปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น โครงสร้างเหล็กของอาคารโรงงาน เป็นต้น
4. ภาชนะบรรจุสารเคมี (Chemical Tank) เช่น ถังเก็บน้ำมัน เป็นต้น
5. การติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ (Mechanical Installation) เช่น การวาง ระบบท่อใน
โรงงานปิโตรเคมี เป็นต้น

สำหรับuecถือว่าเป็นหุ้นที่เติบโตสูงมากๆ นับเป็นดาวเด่นประจำปีนี้เลยทีเดียวครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทั้ง5บริษัทเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทัพย์ครับ ถ้าสนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มได้ครับ

วันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

5บริษัทไทยใน Forbes-Asia's 200 Best Under A Billion (ตอนแรก)

จากการจัดอันดับ 200บริษัทยอดเยี่ยมของเอเชียที่มีมูลค่าบริษัทไม่ถึง1,000ล้านเหรียญ ปรากฎว่ามีบริษัทไทยติดอันดับอยู่ด้วย5บริษัท แต่ผมจะขอบอกรายละเอียดคร่าวๆว่าบริษัทจากประเทศไหนบ้างที่ติดอันดับ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดอันดับมากที่สุด10อันดับ

ประเทศ (บริษัท)
1.Taiwan (41)
2.China (23)
3.Hong Kong (22)
Japan (22)
5.South Korea (21)
6.Singapore (20)
7.India (17)
8.Australia (12)
9.Malaysia (9)
10.Thailand (5)
11.New Zealand (4)
12.Pakistan (2)
13.Philippines (1)
Srilanka (1)

ดูจากอันดับประเทศที่มีบริษัทติดอันดับมากๆแล้วไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจโตแบบฉุดไม่อยู่น่าจะต้องติดเยอะ ส่วนด้านเทคโนโลยีไต้หวัน,ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นผู้ผลิตหลักๆของโลกอยู่แล้ว

ลองมาดูประเภทอุตสาหกรรมกันต่อดีกว่า(ผมเลือกเฉพาะ10อุตสาหกรรมที่มีบริษัทติดมากที่สุด)

อุตสาหกรรม (บริษัท) -ต่อด้วยตัวเลขที่น่าสนใจ
1.electrical components (20) -Taiwan (12) Japan (4) South Korea (2)
2.Semiconductors (13)-Taiwan(8) Japan (2) South Korea (2) และ Thailand (1) ของประเทศไทยคือบริษัท Team Precision
3.Industrial equipment (9)
4.metal working (8)
5.drugs (7)-India(3) South Korea (3) Hong Kong(1)
6.mining (5) Australia ทั้ง5เลยครับ
7.auto parts (4)
real estate development (4)
women apparel (4)
Chemicals (4)- มีบริษัท Thai Carbon Black ของไทยอยู่ด้วย

ประเภทของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเพราะเราได้รู้ถึงเทรนด์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ที่ผมสังเกตุเห็นคือไต้หวันมีบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดอันดับเยอะมาก ที่สำคัญยังมีกลุ่มที่ไม่ติดสิบอันดับนี้แต่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่2โดยตรงคือ semiconductor machinery (3) โดยมีบริษัทไต้หวันถึง2จาก3บริษัทในกลุ่มนี้
แต่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่บริษัท Team Precision หรือชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า Team อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย อย่างน้อยก็มีบริษัทไทยที่เกาะเทรนด์นี้ไปด้วย

พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้ผมจะมาต่อเรื่อง5บริษัทไทยว่ามีอะไรบ้างและใครทำธุรกิจอะไรกัน

วันพุธที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สินค้าที่จับต้องไม่ได้

ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน โลกทางการค้าได้พัฒนารูปแบบขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนมีการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้ากันโดยตรง ต่อมาได้มีการใช้สัญลักษณ์แทนให้การแลกเปลี่ยน ยุคแรกเป็นพวกเบี้ยต่างๆปัจจุบันก็เป็นเงินตราสกุลต่างๆ

ในปัจจุบันคนเราเริ่มจับต้องเงินตรากันน้อยลง แต่ให้เลขดิจิตอลในการใช้จ่าย รูปแบบที่เห็นได้ชัดเจนคือ บัตรเครดิต,เช็ค และการโอนเงินผ่านทาง atm หรือผ่านอินเตอร์เนต สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาอีกคือบัตรเครดิตสำหรับอินเตอร์เนตที่เรียกว่า e-webcard ซึ่งธนาคารจะให้เลขที่บัตรกับเลขหลังบัตร3ตัวมา แต่ไม่มีบัตรจริงๆ(ซึ่งผมใช้อยู่แล้วยอมรับว่าสะดวกมาก) ล่าสุดผมได้ซื้อเกมmonopoly(บ้านเราเรียกว่าเกมเศรษฐี) และเกมchocolatier(ประมาณว่าเป็นพ่อค้าช็อกโกแลต) มาจากเวบgamehouse.com ประเด็นที่ผมต้องการจะบอกอยู่ตรงนี้ครับ ทางgamehouseไม่ได้ส่งcdหรือdvdหรืออะไรมาให้ผมเลย ผมต้องทำการdownload fileจากเวบมาเอง และนำuserกับรหัสที่ทางgamehouseส่งมาให้ทางอีเมลหลังจากจ่ายเงินแล้วมาลงทะเบียนอีกที

พวกซอฟท์แวร์ต่างๆจริงๆแล้วผมถือว่าเราไม่สามารถจับต้องมันได้(เราจับได้แต่ภาชนะที่บรรจุมันไว้) แต่มีค่ามหาศาลต่อชีวิตคนในปัจจุบัน

secondlifeเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่มีประชากรจำนวน9ล้านคนในvitual worldแห่งนี้ และสกุลเงินที่สามารถนำมาแลกเป็นเงินจริงๆได้เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับผู้เล่นรายย่อยๆทีต้องการหารายได้บนโลกไซเบอร์ นอกจากนี้พื้นที่ในsecondlifeกลายเป็นสมรภูมิรบของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆที่ลงป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆในโลกเสมือนจริง รวมถึงการสร้างร้านค้าเพื่อขายของ และสร้างเมืองของบริษัทของตนขึ้นมาบนโลกเสมือนจริง(มหาวิทยาลัยต่างๆเปิดสอนในsecondlifeกันด้วย ซึ่งของไทยก็มีabacที่กำลังดำเนินการสร้างอยู่)

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นว่าโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่โลกเสมือนจริง ที่เราจับต้องสิ่งของกันน้อยลงแต่มีประสิทธิผลมากขึ้น