วันศุกร์ที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

การหาที่นั่งบนรถเมล์

ผมขอยอมรับตรงๆเลยว่าเคยอยู่กทม.มา10ปีเคยนั่งรถเมล์ไม่ถึง10ครั้ง พอกลับไปอยู่ภูเก็ตก็อาศัยรถแม่ แล้วพ่อก็เมตตาให้รถมาขับ
ช่วงนี้ผมใช้รถเมล์บ่อยมากๆครับ และกำลังรู้สึกสนุกมากกับการขึ้นรถเมล์เพราะทำให้ผมได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่ผมไม่เคยมาสัมผัส ซึ่งมีผลดีต่อผมในฐานะนักลงทุนคนนึงที่จะได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆบ้าง

เอาล่ะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า โดยหลักทางกายภาพของมนุษย์ทุกคนย่อมต้องการความสบายและเมื่อต้องขึ้นรถเมล์ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทุกคนจะทำคือหาที่นั่ง ซึ่งที่นั่งมีจำนวนจำกัด(จากที่ผมมองคร่าวๆวันนี้น่าจะประมาณ28ที่นั่ง ในไทยรถแต่ละคันมีการวางที่นั่งไม่เหมือนกันอีก*_* ) ถ้ามีคนขึ้นไม่เยอะก็ไม่เป็นไรยังไงก็ได้นั่ง แต่ถ้าจำนวนผู้โดยสารมีมากกว่าจำนวนที่นั่งล่ะ แน่นอนว่าdemandมากกว่าsupplyแล้ว(เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวครับ) ดังนั้นคนที่อยากนั่งจะต้องหาstrategyให้ได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้นั่งแล้วยังต้องใช้หลักความน่าจะเป็น(probability)มาประกอบด้วย คุณลองนึกภาพดูว่าคุณทำอะไรบ้างตั้งแต่คุณอยู่ที่ป้ายรถจนกระทั่งขึ้นรถ
ส่วนตัวของผมนะผมจะพยายามเตรียมเงินให้พร้อมก่อนขึ้นรถ(เท่าที่จำได้เป็นนิสัยส่วนตัวตั้งแต่ขึ้นครั้งแรกๆแล้ว(culture)) การเตรียมพร้อมจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะแย่งเก้าอี้ครับ(market share)
มาดูที่กลยุทธแรกดีกว่า ผมสังเกตุเห็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้กัน Marking Strategy คือการประกบ1-1ครับ โดยถ้าจะให้ดีต้องเล็ง(focus)ไปยังบุคคล(target)ที่คุณคิดว่าเค้าน่าจะลงในอีกไม่กี่ป้ายข้างหน้า วิธีสังเกตุง่ายๆครับดูที่uniform ดูว่าทำงานที่บริษัทไหน อยู่โรงเรียนไหน มหาลัยไหน นั่นแหละจะทำให้คุณทราบจุดหมายปลายทางของเป้าหมายต่างๆแล้วเลือกmarkทันที(ข้อยกเว้นคือใช้ได้ในช่วงเช้านะครับ) ส่วนช่วงเย็นๆโปรดประกบนักเรียนและคนชราที่ไปจ่ายกับข้าวมาครับ โดยส่วนมากกลุ่มเป้าหมายนี้จะเดินทางในละแวกใกล้ๆบ้านของตน แต่Marking Strategyมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงมากๆ เคยโดนมาแล้วครับ
คือปกติแล้วผมจะเลือกใช้กลยุทธถัดไปแต่บังเอิญว่าเย็นวันนั้นรถแน่นมากๆ(แถมรถติดโคตรๆ)นึกดูว่าผมก้าวขึ้นรถไปแล้วไม่ต้องเดินไปไหนต่อเลยครับ แล้วด้วยสัญชาตญาณดันไปเห็นเด็กนักเรียน(หญิง)นั่งอยู่ ผมพยายามแทรกเข้าไปประกบติดทันที(อย่าคิดลึกนะแค่เด็กประถม) โดยกะว่าบ้านของเธอคงจะอยู่ไม่ไกลจากรร. แต่ทราบมั้ยครับว่าผมต้องยืนตลอดเส้นทางบนถนนลาดพร้าวตอนเย็นๆที่รถติดโครตๆหนำซ้ำผมยังลงก่อนเธอซะอีก(ผมลงที่นวมินทร์ครับ) ดังนั้นกลยุทธนี้ถ้าจับเป้าหมายผิดคือจบครับ แต่เพิ่มความน่าจะเป็นจากการไปยืนประกบที่นั่งฝั่ง2คนได้ครับ

มาดูสุดยอดstrategyที่ผมคิดว่ามีน้อยคนที่จะใช้ ไม่งั้นผมก็เป็นพวกโรคจิตอยู่ว่างไม่ได้ต้องหาอะไรมาคิดให้เปลืองสมอง
นี่คือZoning Strategy ถ้าหากคุณสามารถไปยืนคุมในตำแหน่งที่มีเก้าอี้3-5ตัวได้ล่ะโอกาสได้นั่งจะเพิ่มมากขึ้น งั้นผมจะใช้ประสบการณ์จริงๆเลย(ซึ่งผมจะใช้กลยุทธนี้ทุกครั้งยกเว้นกรณีข้างบนที่ผมควบคุมmacro economyไม่ได้) เอาของวันนี้เลยล่ะกัน

วันนี้ผมขึ้นรถตรงตลาดคลองเตยครับ เวลาประมาณ17.30 ผมกำเหรียญที่เตรียมไว้พอดีในมือ(organize)แล้ววิ่งขึ้นรถ ผมมองไปที่หน้ารถและท้ายรถ(looking for opportunity)แล้วประมวลผลทันทีว่าข้างหน้าคนยืนน้อยกว่า(ตำแหน่งที่เราจะไปยืนบนรถสำคัญที่สุดเลยครับ ถ้าคุณยืนตรงกลางความน่าจะเป็นที่จะได้นั่งต่ำมากกว่าส่วนหัวกับท้ายของรถเพราะคนที่ขึ้นรถมักจะเดินไปยืนตรงกลาง(จิตวิทยาซะงั้น)เท่ากับเราจะมีคู่แข่งเพิ่ม แล้วการไปอยู่ตรงส่วนกลางของรถจะเป็นแค่Marking Strategyเท่านั้น)ต่อๆ แล้วผมเดินมาข้างหน้าพร้อมกับรีบจ่ายค่าโดยสาร พอมาอยู่ที่ส่วนหน้าผมพบทำเลทอง(Dragon Position)ตรงฝั่งซ้ายมือของหัวรถ แต่มีหญิงสาวท่านนึงยืนอยู่แต่ไม่เป็นไรด้านขวาก็ทำเลดีเพราะพอผมไปยืนคู่กับหญิงสาวท่านนั้น(synergy)จะเป็นการปิดทางเข้าออกพอดี
หญิงสาวท่านนั้นจะstand byที่นั่งทันที3ที่ ส่วนของผม2ที่ เพราะที่ว่างข้างหน้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับเธอคือเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังนั้นไม่มีใครเดินแทรกมาได้(non-competitive) แต่ผมโชคดีมากๆที่เธอลงป้ายถัดไป ผมจึงขยับมายืนตรงตำแหน่งของเธอซึ่งผมวางตำแหน่ง(positioning)การยืนของผมทำให้ผมกันที่ได้ถึง5ที่ทางฝั่งซ้ายทั้งหมดโดยมีที่นั่ง3ตัวที่อยู่ข้างเครื่องยนต์ แล้วแถวคู่อีก2ตัวผมยืนด้านหน้าคนที่นั่งแถวคู่ตัวริมทางเดินเพื่อปิดช่อง3ที่ด้านหน้าพอกับเพิ่มโอกาสที่จะได้นั่งในอีก2ที่ข้างหลัง เพราะถึงแม้ว่าจะมีชายหนุ่มคนนึงยืนข้างๆที่นั่งด้านหลังของผม แต่เมื่อคนที่นั่งข้างหลังของผมลุกขึ้นเขาจะต้องถอยออกไปประมาณ1-2ก้าวเพื่อหลีกทาง ส่วนผมแค่ถอยหลังมานั่งก็จบแล้ว

นี่คือศาสตร์อย่างนึงให้ชีวิตประจำวันที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเงินลงหลักสูตรสำหรับผู้บริหารเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้มันอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง มันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นแล้วนำมันมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและธุรกิจการงานของคุณได้รึเปล่า ต่อให้คุณไปเรียนมาแพงๆแล้วคุณนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ก็ไม่ค่าอะไร แล้วคุณก็ยังแพ้คนเดินดินธรรมดาที่เรียนในมหาลัยชีวิตโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทแล้วล่ะครับ

ลองให้สิ่งรอบๆตัวมาตั้งโจทย์เล่นก็ได้นะครับ แล้วคุณจะพบว่าตำราเรียนทุกเล่มบนโลกนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม(คิด)

วันพุธที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ความเสี่ยง

ทุกๆคนรู้ว่าการเล่นหุ้นมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการเล่นพนัน
หลายๆคนยังเปรียบตลาดหลักทรัพย์ว่าเป็นบ่อนเสรีแห่งหนึ่ง

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงละก็...การเล่นหุ้นจะเป็นการพนันที่ให้ผลแทนที่คุ้มค่าและมีเหตุผลมากที่สุดบนโลกนี้!!!
การพนันส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้เจ้ามือได้เปรียบ ส่วนการพนันที่เจ้ามือไม่ได้เปรียบคือการพนันที่ไม่มีเจ้ามือ
การพนันเป็นzero-sum-game เพราะเงินจะเคลื่อนที่จากผู้แพ้ไปยังผู้ชนะ(ส่วนใหญ่ก็เจ้ามืออีก)
ส่วนการเล่นหุ้นนั้นจริงๆแล้วเป็นwin-winครับ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพราะว่าการเล่นหุ้นคือการซื้อ-ขายส่วนของความเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ ฝ่ายขายได้โอนสิทธิในส่วนที่ตนเป็นเจ้าของไปยังฝ่ายซื้อ ฝ่ายซื้อก็จะกลายเป็นเจ้าของคนหนึ่งของบริษัทแห่งนั้น
บางคนอาจจะแย้งว่าในการซื้อ-ขายหุ้นก็มีคนขาดทุน!!!
ใช่ครับผมยอมรับว่า มีแต่ทุกคนย่อมรู้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยงครับ
ความการลงทุนนี้รวมไปถึงการลงทุนอื่นๆด้วย(เค้าไม่ได้บอกแค่ว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง) การลงทุนนับรวมไปถึงการซื้อพันธบัตร,หุ้นกู้,อสังหาริมทรัพย์,ทำธุรกิจ แม้กระทั่งฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ คุณอย่านึกนะครับว่าเงินฝากของคุณจะอยู่ครบ ทันทีที่คุณนำเงินไปฝากแบงค์ก็จะนำเงินของคุณไปให้คนอื่นกู้ ผมเดาได้เลยว่าถ้าคนสักครึ่งประเทศไปถอนเงินพร้อมกันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจากการที่แบงค์ปล่อยเงินกู้ออกไปนั้น โอกาสได้กลับคืนมาก็วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนไม่ได้ครับ และที่สำคัญอย่าคิดว่าธุรกิจธนาคารเป็นประเภทนอนกินยังไงก็ไม่เจ๊งนะครับ ย้อนกลับไปดูตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจดูได้ครับ ถ้าคิดว่ายุคนี้มันเป็นไปแล้วผมจะให้ลิ้งค์ไว้ไปเปิดดูเอาเองนะครับ เป็นสถานะทางการเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง http://www.settrade.com/simsImg/news/2007/07001449.t07

ขอย้อนกลับมายังเรื่องการพนันกับการเล่นหุ้นต่อ
การพนันมีเวลาที่จำกัดครับ เมื่อคุณวางเงินเดิมพันที่จะเล่นคุณจะมีเวลาทำเงินแค่ระยะเวลาสั้นๆที่เกมส์ดำเนินไป ถ้าเป็นไพ่อาจจะนานหน่อย แต่ถ้าเป็นการทอยลูกเต๋าล่ะ การพนันฟุตบอลก็เช่นเดียวกันคุณมีเวลา90นาทีที่จะทำได้แค่นั่งดู
ส่วนหุ้นคุณสามารถถือได้ตลอดชีวิต เป็นมรดกให้ลูกได้ด้วย และที่สำคัญระหว่างที่คุณยังอยู่ในเกมส์คุณจะได้ผลตอบแทน(เงินปันผล)กลับมา ยิ่งคุณอยู่ในเกมส์หุ้นนานเท่าไหร่คุณต้นทุนของคุณจะวิ่งกลับเข้ามายังกระเป๋าของคุณมากเท่านั้น
การเล่นพนันคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าไพ่ที่คุณจะได้คืออะไร พอจั่วมาแล้วคุณรู้ของคุณแต่ไม่รู้ของคู่แข่ง
ส่วนการเล่นหุ้นคุณได้รับรู้ข้อมูลของทั้งบริษัทที่คุณสนใจและของบริษัทคู่แข่งก่อนที่คุณจะวางเงินไป

การพนันโดยทั่วๆไปคุณจะเสียเงินลงทุนไปทั้งก้อนที่ลงไปในเกมส์นั้น
แต่การเล่นหุ้นคุณตัดขาดทุนตั้งแต่ยังเสียน้อยๆได้

ถ้าเกิดได้ล่ะ!
สมมติว่าได้กำไรเท่าตัวทั้งคู่ การพนันโดยทั่วไปจะจบเกมส์แค่นั้น ส่วนหุ้นคุณขายออกครึ่งนึง(เอาทุนคืนมาก่อน)แล้วถือต่อไปอย่างน้อยก็ได้หุ้นฟรีบวกกับอยู่ในเกมส์ต่อไปเพื่อลุ้นกำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้นและยังไม่เงินกินเปล่า(ปันผล)ไปเรื่อยๆ

แค่นี้คงจะพอสรุปได้ว่าถ้าหุ้นคือการพนันล่ะก็มันจะเป็นการพนันที่เสี่ยงน้อยที่สุดและน่าเล่นที่สุด เพราะกติกาเอื้อให้เราได้เปรียบเห็นๆ
แล้วผมก็เป็นคนนึงที่กล้าเสี่ยงไปกับการพนันชนิดนี้ไปแล้ว ^_^

วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ศัตรูตัวฉกาจของเงินออม

หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับคนหลายๆคน ทำให้ผมได้ทราบว่าคนไทยมักจะมองข้ามการลงทุนไป(ผมเดาว่าไม่ได้ออมด้วย) บางคนคิดว่าไม่มีเวลาบ้าง มีเงินน้อยบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บางคนคิดมีเงินเดือนเยอะอยู่แล้ว และบางคนถามผมว่าคิดไกลเกินไปรึเปล่า?

ตอนนี้ผมได้ศัตรูตัวแรกแล้ว นั่นก็คือตัวของพวกคุณเอง(ผมหวังว่าคนที่เข้ามาอ่านคงจะไม่คิดแบบข้างบนนะ) เพราะแค่พวกคุณปิดกั้นด้วยข้อแก้ตัวเหล่านั้นคุณจะไม่มีวันได้พบกับอิสรภาพทางการเงิน เอาล่ะผมไม่อยากพูดถึงศัตรูตัวนี้สักเท่าไหร่นักไปพูดถึงตัวอื่นๆดีกว่า แล้วศัตรูตัวนี้อาจจะกลับใจได้

ตัวที่สองคือสังขารของพวกคุณ ทุกๆคนย่อมมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ยิ่งแก่กับเจ็บนะครับค่าใช้จ่ายแพงมาก(นี่คือสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มรพ.มีpeที่สูงมาก) เอาแค่นี้ก็พอนึกภาพกันออกนะครับว่าโรคบางโรคทำให้เงินที่คุณหามาทั้งชีวิตหายไปได้ นี่ยังไม่นับญาติของคุณที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เหมือนคุณ แน่นอนว่าคุณต้องหาเงินมาช่วยอยู่แล้ว

ตัวที่สามครับน่ากลัวที่สุด เพราะทุกคนมองไม่เห็นและมันร้ายขึ้นทุกวัน มันคือเงินเฟ้อครับ
คงจะมองไม่ภาพกัน ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ สมัยพ่อผมเด็กๆใครพกเงินไปโรงเรียนสัก5บาทนี่ก็ถือบ้านรวยแล้วนะครับ กินข้าว กินก๋วยเตี๋ยวได้สบายๆ แถมยังเหลือไว้กินขนมและหยอดกระปุกได้อีก แต่ปัจจุบันครับซื้อเลย์ยังไม่ได้เลยครับ ย้ำว่าเลย์ถุงเล็กๆ ที่มีขนมในซองไม่ถึงครึ่งซอง*_* เอาล่ะถ้ามองโลกในแง่ดีก็ยังซื้อมาม่ากินได้ครับพออยู่ท้อง
นั่นคือความน่ากลัวในระยะยาวซึ่งทุกคนคงไม่เห็นภาพชัดพอ
วันนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ระหว่าง0.5-4.25 คนส่วนใหญ่จะได้เรทที่0.75 ส่วน4.25อ่ะมีkbankรายเดียวครับซึ่งน่าจะต้องมีรายละเอียดอะไรพิเศษ ผมตีดอกเบี้ยสำหรับฝากออมทรัพย์ที่ 1.5%ต่อปีแล้วกัน ถ้าคุณมีเงิน100บาท ปีถัดไปคุณคิดว่าเงินในบัญชีจะเป็นเท่าไหร่? 101.5? คำตอบคือไม่ใช่ครับ คุณโดนหักค่าธรรมเนียมแน่นอนแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ผมยังหยวนๆให้คุณมีเงินเป็น101.5 บาท แต่คุณรู้อะไรรึเปล่าว่าเงิน101.5บาทมีค่าลดลง งงล่ะสิ!
คุณรู้รึเปล่าว่าปีที่ผ่านมาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์?
เท่าที่ผมทราบว่านะครับ ประมาณ3.5%ได้ นั่นหมายถึงของใช้จะราคาแพงขึ้น3.5% แต่คุณกลับได้ดอกเบี้ยแค่1.5% เท่ากับคุณติดลบ2%
สมมติคุณอยากซื้อเสื้อ100บาท ปีหน้าราคามันกลายเป็น103.5บาท แต่คุณมีเงินแค่101.5บาท คุณต้องหาเงินมาเพิ่มอีก2บาท
แต่ถ้าคุณยังบอกว่าคุณเอาเงินเดือนมาซื้อก็ได้ คุณคิดผิดครับ เพราะเงินเฟ้อจะทำให้ทุกอย่างแพงขึ้น ต้นทุนราคาแพงใครๆก็ต้องเพิ่มราคาขายทั้งนั้นครับ และอย่ามั่นใจว่าคุณจะมีเงินเดือนใช้ไปเรื่อยๆนะครับ เพราะต่อให้เรียนมาสูงๆก็ตกงานได้ครับ
ถ้าย้อนกลับไปปี39 บางคนมีเคยเงินเดือนถึง50,000บาท โบนัส12เดือน แต่พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทจำนวนมากต้องลดเงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน 50,000เหลือ10,000บ้าง ไม่มีโบนัสอีก ใครโชคร้ายก็ถูกไล่ออกครับ นี่เป็นเหตุการณ์จริงซึ่งไม่ต้องเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่บริษัทของคุณอาจจะสู้คู่แข่งไม่ได้ก็ต้องปิดตัวไปอยู่ดี หรือมีคนที่เก่งกว่าคุณเข้ามาทำงาน เขาคงไม่เก็บคุณไว้ดูเล่นแน่นอน
นี่แค่ผลระยะสั้นนะครับ ถ้าคุณติดลบ2%ไปเรื่อยๆทุกๆปีทบต้นสัก5-10ปีก็แย่แล้วครับ

ขอโทษทีนะครับที่เรื่องค่อนข้างเครียดแต่มันเป็นที่ควรจะรู้เพื่อความไม่ประมาท

ต่อครับตัวต่อมาดอกเบี้ยเงินกู้ครับ ใครที่ผ่อนบ้านอยู่กรุณาช่วยนำใบผ่อนชำระมาดูด้วยครับ จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยทบต้นครับ(ที่บ้านผมดอกเบี้ยสูงกว่าเงินต้นจริงๆ) กู้มาซื้อบ้านซื้อรถผมเห็นด้วยนะครับ ถือเป็นลงทุนที่ดี เพราะยิ่งจ่ายสัดส่วนที่เราเป็นเจ้าของก็จะเพิ่มขึ้น(แต่อย่าลืมว่าถ้ายังผ่อนอยู่ คุณยังไม่มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ และถ้าไม่มีเงินจ่ายคุณจะถูกยึดบ้าน,รถ)
ดอกเบี้นเงินกู้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็นดอกเบี้ยที่โหดที่สุด(จำไว้ว่าถ้าคุณมีหนี้หลายทางและจ่ายได้ไม่หมด คุณต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิตก่อน ค่าบ้านกับค่ารถไว้ทีหลัง) เพราะดอกเบี้ยสูงถึง20% และที่สำคัญเวลาที่คุณจ่ายขั้นต่ำไปเค้าไม่ได้คิดดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระ แต่คิดจากยอดที่ใช้ เช่นคุณรูดไป5,000บาท คุณชำระหนี้ไป4,500บาท เหลือ500บาท คุณนึกว่าเค้าคิด20%จาก500 แต่ไม่ใช่ครับ เค้าคิดจาก5,000บาท น่ากลัวมากๆครับ

เท่าที่ผมนึกได้ตอนนี้ก็มีแค่นี้ครับ(คงมีอีกแต่เวลาผมเขียนบล็อกผมมักจะเขียนสดครับ ได้อารมณ์มากกว่า แต่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วครับสำหรับการที่จะรักษามูลค่าของเงิน)
*อัตราดอกเบี้ยนำมาจากเวบของbot(ธนาคารแห่งประเทศไทย)ครับ

วันเสาร์ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ความแตกต่างระหว่างเล่นหุ้นกับลงทุนในหุ้น

เวลามีคนถามว่าทำอะไรอยู่?
ผมอยากจะตอบว่าลงทุนในหุ้นก็ดูจะเป็นคำพูดที่สวยหรูเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่
จะตอบว่าเล่นหุ้นก็ไม่ได้เพราะผมไม่ได้เล่นแต่ผมลงทุนจริงๆ

สำหรับผมคำว่าเล่นหุ้นมีความใกล้เคียงกับการเล่นพนันมาก เพราะคนที่เข้าไปเล่นไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของบริษัทที่ตนเองซื้อเลย ที่แย่กว่านั้นบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร คนพวกนี้มักจะดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นซึ่งมันคาดการณ์ไม่ได้เพราะมันมีการผันผวนอยู่ตลอดเวลา บางทีก็อาศัยข่าว ซึ่งข่าวก็มีทั้งจริงและไม่จริงปนๆกันอยู่ แล้วณ.นาทีนั้นๆคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวที่ได้ยินมามันจริงรึเปล่า?

สำหรับคำว่าการลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ นักลงทุนจะต้องดูพื้นฐานของบริษัทว่าทำธุรกิจอะไร อยู่ในอุตสาหกรรมไหน ลูกค้าคือใครผลประกอบการที่ผ่านๆมาเป็นอย่างไร ผู้บริหารคือใครเชื่อถือได้แค่ไหน รวมทั้งปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบต่อบริษัทที่ตนเองต้องการจะเข้าไปถือหุ้นด้วย

สรุปก็คือผู้ที่ซื้อหุ้นจะกลายเป็นเจ้าของคนหนึ่งของบริษัทนั้น คุณลองคิดดูว่าคุณอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณรู้ข้อมูลของบริษัทเป็นอย่างดีหรือเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณถูกหลอกให้ซื้อ(ติดหุ้น)

แต่ส่วนมากยังคงใช้คำว่าเล่นกับทั้งสองประเภทดังนั้นผมจึงไม่สามารถฝืนได้ จึงขอใช้คำว่าเล่นหุ้นเช่นกัน แต่คุณต้องแยกให้ออกนะครับว่าเล่นหุ้นแบบการพนันกับเล่นหุ้นแบบทำธุรกิจต่างกันอย่างไร?

เปิดตัวบล็อกใหม่ของผมครับ


บล็อกนี้จะเกี่ยวเรื่องราว,ประสบการณ์ของผมที่ได้สัมผัสมาโดยจะเน้นเรื่องมองมุมการใช้ชีวิตและการลงทุนเป็นหลัก บางครั้งอาจจะมีเรื่องราวหรือบทความดีๆมาให้อ่านกันบ้าง
ผมหวังว่าบล็อกนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะครับ
ตอนนี้มือใหม่ขอตัวไปหัดทำบล็อกดีๆให้ทุกๆคนได้อ่านกันก่อนนะครับ