วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

Hubble NL Hold'em

วันนี้นั่งเล่นโป๊กเกอร์แบบ tourney อีกแล้ว แต่คนละรายการกับคราวที่แล้ว
ชื่อ Hubble NL Hold'em เป็นแบบ Freeroll เข้าเล่นฟรีเช่นเดิม ^ ^
คราวนี้ผู้เล่นเยอะกว่าครับ ตั้ง 9000คนแน่ะ นั่งเล่นยาวเลย สุดท้ายจบอันดับที่ 134
จะพยายามพัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆครับ
ที่เอาอัพขึ้นบล็อกเพราะจะได้บันทึกไว้ว่าแข่งรายการไหน เคยได้สูงสุดที่เท่าไหร่
จะได้เป็นเป้าหมายที่ผมจะต้องทำลายสถิติสูงสุดเดิมให้ได้




ส่วนการฝึกเทรดเดอร์กับทาง MudleyGroup สัปดาห์นี้ผมทำ CF ไม่ได้เลย และทีมผมก็ทำไม่ได้ด้วย เลยโดนกิน Cash ไปเยอะเลย
โดยรวมทุกทีม Port Value ใช้ได้เลยครับในภาวะตลาดแบบนี้

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

Betting Trade

ผ่านไปสัปดาห์แรกสำหรับการฝึก Betting Trade ของเหล่าเทรดเดอร์ฝึกหัดรุ่นแรกของ MudleyGroup ครับ

เข้าไปดูผลได้ตามลิ้งค์นี้ครับ
http://mudleygroup.blogspot.com/2010/11/week-46-2010-standing.html

สำหรับคำตอบที่ผมจะตอบ ขอตอบทางบทความนี้แล้วกันครับ
เพราะตอบในคอมเม้นต์บางคนอาจจะพลาดไม่ได้อ่าน

ในรุ่นแรก แต่ละทีมได้รับเงิน 65000 ในตอนเริ่มต้นครับ
และจะมีการสรุปผลกันทุกสัปดาห์

ขอขโมยรูปจากบล็อก MudleyGroup มาประกอบแล้วกัน ^ ^



ยอด cash คือเงินสดสิ้นสัปดาห์(หลังจากบวกลบ CF Bonus)
ยอด Port Value คือมูลค่าพอร์ทสิ้นสัปดาห์(หลังจากบวกลบ CF Bonus)

เอาให้เห็นชัดขึ้น ทีม Eagle เมื่อเราเอา HP(CF Bonus) ที่ทาง Eagle เสียไปในสัปดาห์แรก 26.81 มารวมกับ cash รวมกับ port value จะเท่ากับ 65000 ทั้ง2ส่วนเลย
แปลว่าทีมนี้ยังไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเลย อาจจะรอดูสถานการณ์แล้วรอซื้อตอนตลาดวิ่งขึ้น ไม่อยากเสี่ยงกับตลาดที่ไม่แน่นอนในช่วงนี้

อีกสองทีมก็มีการขยับกันแล้ว โดยมูลค่าพอร์ทต่ำกว่า 65000 และ Cash น้อยกว่ามูลค่าพอร์ท แปลว่ายังมีหุ้นที่ซื้อมาแล้วขาดทุนอยู่(ห้ามขายขาดทุน)
มีทีม Shark ที่ได้ CF ทีมเดียวแสดงว่ามีปิดกำไรได้บ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เยอะอะไร
ข้อมูลพวกนี้ลองเอามาใช้อ่านเกมทีมอื่นๆได้ด้วยครับ แต่ระยะแรกอาจจะยังไม่ชัดนัก เพราะอาจจะยังทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้ยังไม่ครบกัน

ส่วนการเล่นเป็นทีม คือการวางแผนแบ่งหน้าที่กันครับ คงจะรู้กันแล้วว่าต้องเทรดหุ้นที่มีใน stock futures+tdex
แต่ละทีมก็ทำการแบ่งหน้าที่ว่าใครจะดูแลตัวไหนบ้าง วงเงินเท่าไหร่
ถ้าต้องการให้กลยุทธ์ในทีมสอดคล้องกัน ก็วางแผนไปถึงวิธีการเล่นได้ครับ ว่าจะเล่นกันยังไง เหมือนกันทั้งคู่ หรือต่างสไตล์กัน
ใครมีไอเดียอะไรก็ใส่ลงไปได้ครับ

^ ^

วันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

9th

อัพบล็อกซะหน่อย

วันนี้ผมลองไปเล่นทัวร์นาเม้นต์ Freeroll จากเว็บนึง(ขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน)
มีคนเล่นทั้งหมด 540 คน
จะมี2คนที่ได้ผ่านไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ต่อไป เหมือนกับหาคนผ่านเข้ารอบอะครับ

ผมสามารถเข้าไปได้ถึง Final Table(9คนสุดท้าย) แล้วก็จบในอันดับที่9นั่นแหละ ^ ^

finished9

ถือว่าสนุกมากเลยครับ แต่เหนื่อยเหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

ตัวอย่างการบันทึกผลเพื่อส่ง Resume ไปยัง MudleyGroup

ผมก็อปมาจากคอมเม้นต์ของผมจากบล็อก MudleyGroup มาโพสต์พร้อมแปะรูปให้ดูกันนะครับ พอดีมีคนเข้าลิ้งค์ที่ให้ไปไม่ได้

1.เปิดบัญชี facebook แล้วไปเล่นเกมโป๊กเกอร์ รุ่นแรกเล่น texas holdem ของค่าย zynga กันครับ

2.บันทึกการเล่นโป๊กเกอร์ระยะเวลา1สัปดาห์

โดยรายละเอียดการจดให้จด
-ชื่อผู้เล่น(ไม่ต้องชื่อจริงก็ได้ครับ เอาที่เรียกกันง่ายๆ)
-เงินเริ่มต้นในแต่ละวันที่เล่น
-เวลาที่กดเข้าไปนั่งในโต๊ะ
-stake ที่เล่น (ตัวเลขที่เป็น 5/10, 10/20 อะไรพวกนี้อะครับ)
-จำนวนชิพที่เอาลงเล่นในครั้งนั้น
-เวลาที่ออกจากโต๊ะ(ทุกกรณีไม่ว่าจะออกเพราะลุกเองหรือหมดตัว)
-ระยะเวลา
-จำนวนชิพที่เหลือ
-กำไร/ขาดทุน

พอเข้าไปนั่งใหม่ หรือว่าชิพหมดแล้วจะลงใหม่ก็บันทึกแยกใหม่ครับ
-เวลาที่เข้า
-จำนวนที่ลง
-ฯลฯ

ตัวอย่างการบันทึกครับ

Photobucket


edit เพิ่มนะครับ ใส่รูปให้ดูว่าตรงไหนคือ stakes

Photobucket

Photobucket

วันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

Reflexivity

บทความนี้เป็นการสรุปความเข้าใจของผมต่อแนวคิดของโซรอส ซึ่งผมได้ลองถามพี่ต้าน MudleyGroup เพื่อยืนยันว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่


ปลาหมึก
คือผมสนใจความคิดของ Soros มาระยะนึงแล้ว ตอนอ่าน the new paradigm for financial market และบทความต่างๆ ผมก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่
อาจจะเพราะเป็นทั้งภาษาและเป็นแนวคิดที่ต่างจากเศรษฐศาสตร์ในตำราทั่วไปหรืออะไรก็แล้วแต่

ตอนนี้ผมคิดว่าความเข้าใจของผมน่าจะมีเพิ่มขึ้นมาบ้าง จึงอยากจะถามดูครับว่าผมเข้าใจถูกต้องรึเปล่า และเข้าใจในระดับไหน

อย่างแรกเรื่องคือ ตลาดไม่มีความสมบูรณ์แบบ เนื่องมาจากตลาดเคลื่อนไหวจาก action ของคน และคนมีการรับรู้ที่ผิดพลาดอยู่แทบจะตลอดเวลา
ในบางกรณีเช่นความคาดหวังต่ออนาคต มันเป็นการทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่มีอะไรบ่งบอกได้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่จะขึ้นนั้นต้องเป็นผลรวมมาจาก action ของคนทุกๆคน
ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะรู้ว่าคนทุกๆคนจะทำอะไร อาจจะมีบ้างที่มีกลุ่มคนที่มีอิทธิพลสามารถชี้นำได้ แต่ไม่ทั้งหมด

จากการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนส่งผลให้เกิด action ที่ผิดเพี้ยนเช่นกัน ดังนั้นตลาดจึงเกิดภาวะฟองสบู่เป็นระลอกๆ อยู่ที่ว่าจะเป็นฟองสบู่ในรอบเล็กๆเช่นระยะปี หรือรอบใหญ่ๆเช่นระยะสิบๆปี โดยฟองสบู่ที่ใหญ่เป็นการสะสมความผิดพลาดต่างๆจากเล็กๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง มันจึงสะสมเป็นลูกใหญ่

ในระยะยาวจะมีการปรับสมดุลอยู่ตลอดเวลา เช่นเมื่อ ราคา วิ่งหนี ปัจจัยพื้นฐานไปมากๆ จะต้องมีการปรับสมดุลเกิดขึ้น เช่นมีคนรับรู้ความจริงว่าตอนนี้ราคามันเป็นฟองสบู่แล้วก็จะเกิด action สวนทางกลับมายังพื้นฐานของมัน แต่แน่นอนว่าตลาดไม่สมบูรณ์แบบ action อาจจะแรงเกินไปทำให้ลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากเป็นการ action จากคนจำนวนมากที่มีทั้งรู้ข้อมูลจริงและไม่รู้ข้อมูลจริง จนเมื่อถึงเวลาหนึ่งจะมีคนรับรู้อีกว่า ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน จะมีการ action ย้อนกลับขึ้นไปอีกครั้ง

ส่วน reflexivity ตามความเข้าใจของผมคือ
1.ตลาดสะท้อนปัจจัยและข้อมูลต่างๆออกมา (ซึ่งข้อนี้เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปอยู่แล้ว)
2.ตลาดมีอิทธิพลส่งผลสะท้อนกับไปยังปัจจัยและข้อมูลต่างๆด้วย

จากข้อ2 แปลว่าการรับรู้ของคนเรานั้น(ความคิด) เมื่อไปทำให้ตลาดเกิด action มันจะสามารถสะท้อนไปยังปัจจัยต่างๆ(ความจริง)ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามได้ แม้ว่าจะเป็นการรับรู้มาแบบถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม
เช่นถ้าเกิดราคาสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้น มันจะส่งผลมายังผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย ปัจจัยต่างๆจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตามราคาได้

ไม่แน่ใจนะครับว่าผมเข้าใจได้ถูกหรือผิด มากน้อยขนาดไหน แถมไม่รู้ว่าอ่านรู้เรื่องรึเปล่า
คิดว่าพี่ต้านน่าจะเข้าใจแนวคิดต่างๆดี ก็เลยอยากถามว่าระดับความเข้าใจของผมเป็นยังไงบ้างครับ



MudleyGroup
ใช่เลยครับ นี่คือหัวใจพื้นฐานที่สำคัญของ Reflexivity ซึ่งคนส่วนมากจะมองแค่ข้อ1 ทั้งๆที่ข้อ 2 ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่นเพราะเรื่องของราคาตลาดมันสามารถสะท้อนมายังพื้นฐานของสินค้าได้เช่นกัน อย่างเช่น ในบลาซิล ตอนพี่ซื้อ-ขาย เอทานอล อยุ่ พอราคา เอทานอลมันพุ่งขึ้น จนเกิดกระแส ผู้คนในวงการเกษตรของบลาซิลต่างก็หาเหตุผลมา support การขึ้นของราคานั้น จนทำให้โรงงานเอทานอลเกิดความโลภอยากกักตุนไว้เพราะอยากได้ราคาสูงๆ สุดท้ายก็ยิ่งส่งเสริมทำให้ราคา เอทานอล ในบลาซิลตอนนั้นยิ่งสูงขึ้นไปอีก จนเกิดฟองสบู่ขึ้นมา หลังจากนี้พอมันสุดโต่งไปมากๆหลายๆคนเริ่ม Realize ก็จะทำให้เกิดการเทขาย เพราะถ้าราคามันแพงไปมากกว่านี้ก็จะมีคนไปนำเอทานอลจากประเทศอื่นเข้ามาขายแทน ทีนี้คนก็เริ่มแห่ขาย พวกโรงงานที่กักตุนไวเริ่มตกใจกลัวว่าตนจะขายได้ราคาไม่ดี ก็พากันขนออกมาขายกันใหญ่ จนราคาในตลาดรองรับ supply ไม่ทันส่งผลให้ตลาดดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ก็อย่างที่น้องปลาหมึกเข้าใจล่ะครับ :)