วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

พรสวรรค์-พรแสวง


ผมได้ไปอ่านบทสัมภาษณ์ของบรรดานักฟุตบอลต่างชาติที่เข้ามาค้าแข้งใน Thailand Premier League แล้วชอบคำตอบนี้ของนักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น ของทีมบางกอก ยูไนเต็ด ที่ชื่อว่า ริวจิ ซูโอกะ




“สำหรับคุณ คิดว่าการเล่นฟุตบอลต้องอาศัยพรสวรรค์หรือพรแสวงมากกว่ากัน?”

“บางคนก็เกิดมาพร้อมพรสวรรค์เพื่อจะเป็นนักฟุตบอล แต่การฝึกซ้อมก็สำคัญมากนะ ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักฟุตบอลที่ดีได้ อันดับแรกเขาจะต้องรักและชอบที่จะเล่นฟุตบอล” สำหรับริวจิ เขารักฟุตบอล และเปรียบเปรยฟุตบอลเหมือนศาสนาที่สอนเขาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

“ถ้าไม่รักมันแล้วผมว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ดีได้ หลายๆ ครั้งเด็กมาถามผมว่า ทำอย่างไรถึงจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ ผมบอกพวกเขาว่า อย่ายอมแพ้

“แน่นอน ผมต้องการจะเป็นนักฟุตบอลที่เพอร์เฟ็กต์ แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากก็ตามที ดังนั้นผมจึงคิดว่าผมจะต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ซึ่งมันก็ไม่สามารถรับประกันได้หรอกว่าความฝันที่ผมหวังไว้จะเป็นจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงผมก็จะพยายามต่อไป” ริวจิ ที่ปัจจุบันอายุสามสิบปี พูดด้วยประกายตามุ่งมั่นและไม่คิดย่อท้อเหมือนซามูไรมองฝันยามอาทิตย์อัสดง ในตอนจบของการ์ตูนญี่ปุ่น

สู้ต่อไป ริวจิ ซูโอกะ

วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

power of negotiate2

ต่อจากบทความที่แล้ว power of negotiate แต่ว่านำมาเชื่อมโยงกับตลาดเงินตลาดทุน

1.เงิน ตรงนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลยครับ ฝั่งที่มีเงินมากสามารถที่จะขับเคลื่อนราคาได้ สามารถที่จะเล่นเกมได้หลากหลายกว่า มีความอึดมากกว่า และสามารถซื้อข้อมูล รอคอยโอกาส หาทางเลือกใหม่ และมีเครือข่ายได้ด้วยเงิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญๆในเกมนี้ทั้งนั้น

2.ข้อมูล ข้อมูลข่าวสารในตลาดเงินตลาดทุนเป็นสิ่งสำคัญ คนที่มีข้อมูลในมือมากกว่าย่อมได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจ ข้อมูลของบริษัท หรือแม้กระทั่งข้อมูลที่เป็นข่าวลือ

3.เวลา ในที่นี้ผมมองถึงกรอบระยะเวลาที่เป็นเป้าหมาย คนที่วางกรอบไว้ในระยะเวลาที่ยาวๆจะลดความกดดันของความผันผวนระยะสั้นๆได้ ส่วนคนที่วางกรอบไว้สั้นๆจะทนต่อความผันผวนได้น้อยกว่า และการวางแผน กลยุทธ์ ระบบต่างๆ คนที่วางแผนระยะยาวๆจะได้เปรียบมากกว่าคนที่วางแผนแค่สั้นๆ

4.ทางเลือก คนที่มีทางเลือกในหลายๆตลาดย่อมได้เปรียบครับ เอาง่ายๆอย่างนักลงทุนต่างชาติ เค้ามีทางเลือกหลากหลายประเทศ หลากหลายประเภทของตลาดทั้ง หุ้น อนุพันธ์ พันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างๆ ฯลฯ ทำให้สามารถโยกเงินลงทุนไปยังที่อื่นๆก่อนได้เมื่อเห็นว่าที่ปัจจุบันให้ผลตอบแทนที่ต่ำ หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ

5.เครือข่าย การมีเครือข่ายที่กว้างขวางจะช่วยทั้งในแง่ของการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล แนวความคิดต่างๆ รวมไปถึงการร่วมมือกันแสวงหากำไร ตรงนี้มองได้ทั้งแง่บวกและลบนะครับ แง่ลบก็อาจจะเป็นพวกที่วางแผนปั่นหุ้นทุบหุ้น ส่วนแง่บวก(จริงๆก็ไม่ได้บวกนักในสายตาของบางคน)คือการมีอุดมการณ์เดียวกันแล้วร่วมมือกัน อย่างพวกนักลงทุนต่างชาติ เวลาซื้อเขาจะเข้าซื้อเฉพาะพวกใหญ่ๆไม่กี่ตัว และซื้อพร้อมๆกัน ทำให้ราคาสามารถขับเคลื่อนไปได้ง่าย ถ้าต่างคนต่างซื้อ เงินจะกระจัดกระจายทำให้มีแรงขับเคลื่อนไม่พอ

วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

power of negotiate




สิ่งที่สำคัญในโลกนี้สิ่งหนึ่งคือการต่อรอง ผมจึงนำสิ่งที่ทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูงขึ้นมาให้ได้อ่านกัน

  1. เงิน แน่นอนว่าคงไม่มีใครปฏิเสธสิ่งนี้ในการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยน ฝั่งที่มีเงินมากกว่า หรือต้องการเงินน้อยกว่ามักจะได้เปรียบ
  2. ข้อมูล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าฝ่ายไหนรู้ข้อมูลมากกว่าจะทำให้ได้เปรียบมาก ยิ่งถ้ารู้ข้อมูลฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้ว เช่นรู้ว่าต้องการอะไรมีขีดจำกัดขนาดไหน จะทำให้การต่อรองง่ายขึ้นมาก
  3. เวลา ฝ่ายที่มีเวลามากกว่าหรือไม่เร่งรีบจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าฝ่ายไหนอยากได้สิ่งที่ต้องการในเวลาที่จำกัดจะทำให้อำนาจการต่อรองสูญเสียไปเลย
  4. ทางเลือก ฝ่ายที่มีทางเลือกมากกว่าหรือมีทางเลือกอื่น ย่อมมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องต่อรองกับฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว ทางเลือกทำให้มีโอกาสได้เจอการต่อรองที่ดีกว่า
  5. เครือข่าย/เส้นสาย สิ่งนี้ทำให้เกิดอำนาจที่เหนือกว่าได้เพราะมีกำลังเสริมเข้ามาอีก ยิ่งกว้างขวางยิ่งทำให้มีอำนาจมากขึ้น
ในครั้งหน้าผมจะเชื่อมโยงให้เข้ากับตลาดหุ้นเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น

วันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

The Key to Success


"Success is not the key to happiness.
Happiness is the key to success.
If you love what you are doing, you will be successful."

-Albert Schweitzer

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

Just 66% Not 100%

อาทิตย์ที่ผ่านมาผมเทรดน้อยมาก และในแต่ละครั้งใช้เวลาสั้นๆ เนื่องจากผมลองวัดผลบางอย่างดูเฉยๆ
สาเหตุที่ผมต้องทดลอง เพราะอาทิตย์ที่แล้วกลยุทธ์ผมมีข้อผิดพลาดเยอะ
ทำให้ผมต้องรอบคอบกว่าเดิม
ผลออกมาก็โอเคเลยครับ เทรดไป3 ชนะ3 แต่นับเป็นตัวเงินน้อยมากครับเพราะผมเพียงแค่ทดลองความแม่นยำเฉยๆ
จึงเล่นแบบ scalp คือได้กำไรแล้วออก
แต่ในความแม่นยำนั้นยังแผงจุดอ่อนให้ผมเห็นเยอะทีเดียว
อย่างการเทรด1ใน3ครั้งนั้น มีครั้งนึงที่ถ้าผมปิดช้ากว่านั้นเพียงนิดเดียวผมจะแพ้ทันที
นั้นหมายความว่าบังเอิญว่าผมโชคดีที่มันเด้งให้ผมได้ปิดสถานะ ไม่ใช่เพราะกลยุทธ์ของผมมันดี
ดังนั้นมองจริงๆแล้ว กลยุทธ์นี้ชนะ 2 แพ้ 1 ผลเป็น 66% ไม่ใช่ 100%

ดังนั้นการดูเพียงแค่ตัวเลขจาการเทรดอาจจะไม่ได้วัดผลตามความเป็นจริงนัก
เราควรที่จะบันทึกเพิ่มเติมลงไปในรายละเอียดต่างๆเพิ่มเติมด้วย
เพราะข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆจะทำให้เกิดผลเสียในภายหลังได้
และการใส่ใจเพิ่มเติมในสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะเป็นการพัฒนาตัวเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

จะทำอย่างไรต่อเมื่อขาดทุน

จากบทความที่ผมบอกว่าเริ่มไปฝึกทักษะด้านเทคนิคัล
ซึ่งผมไม่ได้ฝึกจากตลาดในประเทศไทย
การก้าวเดินออกไปพบโลกกว้างคราวนี้ได้ทักษะมากกว่าที่ผมต้องการไว้เยอะครับ
มันทำให้ผมได้รู้จักความสำคัญของ "ความมีวินัย" "อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก"
ว่ามันมีผลต่อการเทรดขนาดไหนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ลองมาดูกันง่ายๆ ถ้าหากว่าเราพลาดกำลังขาดทุนในเกมนี้
ทางเลือกคือปิดสถานะเพื่อหยุดการขาดทุน หรือถือโดยหวังจะขายเมื่อกำไรหรือขาดทุนน้อยลง
ในที่นี้ไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีไหนถูก สิ่งคำสัญคือตัดอารมณ์ และความรู้สึกออกไปก่อน
แล้วมามองสถานการณ์ตามความเป็นจริง ถ้าแนวโน้มออกมาว่าเรามีโอกาสขาดทุนมากขึ้นก็ถอยมาตั้งหลักก่อน

บางคนเมื่อเสียแล้วต้องการจะเอาคืน
กรณีนี้อันตรายที่สุดเลยครับ
การอยากเอาคืนหรือแก้แค้นเป็นผลจากอารมณ์ล้วนๆ
ลองเทียบดูเล่นๆว่าคุณพึ่งแพ้มา นั่นแปลว่าคุณอาจจะสู้ไม่ได้
ถ้าสู้ไม่ได้แล้วยังจะวิ่งเข้าไปแลกหมัดอีก ผมว่าผลออกมาก็คงเหมือนเดิม
เราควรจะหยุดพัก เพื่อให้อารมณ์นิ่งก่อน แล้วมองหาข้อผิดพลาดของเรา มองสภาพตลาด
ไตร่ตรองหาวิธีให้เรากลับเข้าสู่โดยเกมนั้นต้องเข้าทางเรา
ลองนึกถึงเกมกีฬาก็ได้ครับ อย่างฟุตบอลถ้าเราเสียประตู
การที่เราจะทวงคืนโดยเล่นแบบเดิมกับที่เราเสียประตู หรือหุนหันเดินหน้าบุกแหลก
อาจจะยิ่งเข้าทางฝั่งตรงข้ามมากขึ้น
เราควรจะแก้เกมด้วยแผนการใหม่ๆ หรือพยายามทำให้รูปเกมเข้าทางเราก่อน
ถ้าเราคุมเกมได้ โอกาสทำประตูจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเอง จนหวังผลถึงชัยชนะได้เลยทีเดียว
ดังนั้นใจเย็นๆ มองดูเกมโดยรวม วางแผนดีๆเพื่อคุมเกมให้ได้
แล้วเราจะมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน

กรณีที่ซับซ้อนขึ้นมาอีก คือ ถ้าแผนการหรือกลยุทธ์ของเราแพ้บ่อยๆ หรือแพ้ต่อเนื่อง
เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่าไม่มีวิธีไหนที่ได้ผล100%
แล้วเรามามองดูว่าที่มันไม่ได้เป็นเพราะอะไร เพราะเราขาดวินัยเองรึเปล่า
ถ้าเรามีวินัยดีอยู่แล้วก็มาดูว่าแผนหรือกลยุทธ์มีข้อบกพร่องตรงไหน
ถ้าเล็กน้อยก็ลองปรับเปลี่ยนแก้ไข แต่ถ้ามันเยอะเกินก็น่าจะลองกลยุทธ์ใหม่ๆดู

ตอนนี้ผมก็ยังฝึกฝน เรียนรู้ไปเรื่อยๆครับ ไม่ได้เก่งอะไร
แถมอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในแง่ตัวเลข แต่ในแง่ของประสบการณ์ผมว่าคุ้มค่ามาก
พอได้ข้อคิดดีๆก็เลยมาอัพไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่นๆ

ทิ้งท้ายไว้นิดนึงครับ
"ตราบใดที่ราคายังเคลื่อนไหว เราก็มีโอกาสอยู่เสมอ"
ดังนั้นเราไม่ต้องรีบร้อนเพราะกลัวตกรถหรอกครับ รอให้ได้จังหวะที่เหมาะสมกับเราดีกว่า

วันอาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

HUNTER 2

สำหรับคนที่คิดว่าแน่ลองดูนี่ก่อนครับ



แม้แต่สัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดยังตกเป็นเหยื่อของนักล่าได้
ไม่ได้มีกฎว่าต้องต่อสู้กับแบบตัวต่อตัว
ไม่ได้มีกฎว่าห้ามสุ่มโจมตี
ไม่ได้มีเวลากำหนดว่าต้องล่าในเวลาใด
สิ่งสำคัญที่จะเอาตัวรอดได้คือฝึกฝนตัวเอง ตื่นตัวตลอดเวลา
เวลาที่คุณเผลอแม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็อาจจะพลาดพลั้งตกเป็นอาหารอันโอชะได้

HUNTER

ทุกๆที่ถอดแบบจากธรรมชาติมา ตลาดเงินตลาดทุนก็เช่นกัน




โดยมากแล้วเราไม่มีทางเลือกมากนักว่าเราจะเป็นอะไร
ในตลาดเงินตลาดทุน เราเข้ามาก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผู้ถูกล่า
ถ้าคุณจะเป็นผู้ถูกล่า ก็ต้องแข็งแรงกว่าผู้ถูกล่าอื่่นๆ
ผู้ถูกล่าที่เชื่องช้า ที่อ่อนแอ หรือผิดพลาดหกล้มผิดเวลาย่อมหมายถึงชีวิตที่ถูกสังเวย

ถ้าคุณเป็นนักล่าที่ไม่ใช่นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด อาศัยเก็บตกซากอาหาร
ก็ต้องรู้จักเวลาที่เหมาะสมในการเก็บ และรู้เวลาในการหนี อย่าละโมบมากเกินไป

ส่วนนักล่าที่แข็งแกร่งจริงๆนั้น โอกาสที่เราจะได้เป็นยากมาก
แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ยากเกินความสามารถของทุกๆคน
ขอเพียงมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนตัวเองให้ถึงจุดนั้น

แม้เราจะไม่ได้เป็นนักล่าที่แกร่งที่สุด เก่งที่สุด
แต่เพียงแค่เราไม่ถูกล่า และสามารถหาเลี้ยงปากท้องได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

วันพุธที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

มาเพิ่ม Trading Skills และ Profitability กันเถอะ

พอดีผมได้อ่านบทความสั้นชื่อ Seven Tools to Boost Trading Skills and Profitability จึงมานำสรุปไว้อ่านเองและให้ผู้ที่สนใจได้อ่านกันด้วย และอาจจะเพิ่มเติมความเห็นของผมไปด้วยนิดหน่อย

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จแทบจะทุกคน จะมีการบันทึกสิ่งที่เรียกว่า "Trading Journal"
พวกเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่มีอิทธิพลต่อทักษะในการเทรดและรวมไปถึงความสามารถในการทำกำไร
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะทำ Trading Journal อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
และนี่จะเป็นแนวทางที่จะดึงคุณเข้าสู่อาณาจักรของ Profitable Trader

1.จดตัวเลข
บันทึกโน๊ตสำหรับตลาดหลัก(หรือหุ้น)ที่คุณเทรดอยู่หรือตลาดที่สนใจ วิธีไม่ได้ยุ่งยากอะไรเพียงดูบนกราฟหรือตารางแล้วจดบันทึกสิ่งเหล่านี้ High, Low, Open, Close, Volume ของตลาดหรือหุ้นที่ติดตามอยู่ อาจจะเพิ่มการโน๊ตสัญญาณของ indicators สำคัญไว้ด้วยก็ได้
วิธีนี้ไม่เป็นเพียงการฝึกฝนที่จะช่วยปรับให้เราเข้ากับตลาด(หุ้น)ที่เราสนใจเท่านั้น
แต่ยังช่วยให้เรามีพัฒนาการด้านทักษะในการอ่านเกมจากข้อมูลดิบได้อย่างรวดเร็วขึ้น

2.บันทึกทุกๆการเทรด
นี่เป็นพื้นฐานของการทำ Trading Journal และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเปลี่ยน/ปรับปรุงคุณสมบัติและความสามารถที่เรามีอยู่ให้ดีขึ้น

3.บันทึกความคิดและอารมณ์ในการเทรด
ถ้าเราต้องการที่จะรู้จักจิตวิทยาในการเทรดของตัวเอง นี่เป็นแนวทางที่เป็นจริงและแน่นอน
ความคิดและอารมณ์เป็นสภาวะของพฤติกรรม
ซึ่งจะเป็นแบบแผนที่ใช้เทรดในตลาด
เป็นแบบแผนที่กระตุ้นเราในการเทรด 
ดังนั้นเราควรจะเรียนรู้ความคิดและอารมณ์ของตัวเราเอง

4.บ่งชี้ "จุดแข็ง" และ "ข้อจำกัด" ของตัวเอง
คุณต้องรู้ว่าคุณมีดีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งพาได้ และมีขอบเขตขนาดไหน
รวมไปถึงการเชื่อมโยง ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมเข้ากับ "จุดแข็ง" และ"ข้อจำกัด"ด้วย

5.พัฒนาแผนการที่จะเอาชนะข้อจำกัดในตัว
นี่เป็นประเด็นที่ต้องทำ Trading Journal ขึ้นมา
เลือกข้อจำกัดขึ้นมาสักข้อที่ต้องการจะเปลี่ยนและพัฒนา
ดูจุดแข็งเพื่อใช้เป็นแนวทางให้การพัฒนาปรับปรุงจุดอ่อนไปในแนวทางเดียวกับจุดแข็ง
ต้องทำให้เกิดขึ้นจริงเพื่อให้เห็นผลในอนาคต

6.ติดตามดูการทำงาน(การเทรด,การพัฒนา)
ข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกไว้จะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ รวมไปถึงเผยให้เห็นถึงขอบข่ายปัญหาที่ทำให้เราก้าวต่อไปไม่ได้
บันทึกผล ชนะ/แพ้ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องยิ่งละเอียดยิ่งดี
เช่น เฉลี่ยผลชนะ/แพ้ , เฉลี่ยกำไร/ขาดทุนจากการชนะ/แพ้ , ผลชนะ/แพ้ ในช่วงสภาวะตลาดรูปแบบต่างๆ
มาถึงตรงนี้จะเห็นถึงประโยชน์ของ ข้อ2 ที่ให้บันทึกทุกๆการเทรด
ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราวางแผนในการพัฒนาตัวเองต่อไปได้ง่ายขึ้น

7.ทำการบันทึกเป็นกิจวัตร
ทำเหมือนกับการเขียนไดอารี่ก่อนนอนครับ การทำ Trading Journal ก็ทำหลังการเทรดทุกๆวันที่เทรด ทุกๆสัปดาห์ ทุกๆเดือน ทุกๆไตรมาส และทุกๆปี เราก็นำมาดูเพื่อบ่งชี้ถึงขอบข่ายของเราว่าเป็นอย่างไร เหมือนกับนักกีฬาที่ต้องหมั่นฝึกซ้อมทุกๆวัน

ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการในการพัฒนาตัวเอง และเป็นแนวทางในการก้าวไปสู่เทรดเดอร์มืออาชีพ
เรามาเริ่มทำ Trading Journal กันเถอะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

บันทึกก่อนการเดินทางในถนนสาย Technical

ตอนนี้ผมกำลังเริ่มต้นฝึกฝนทักษะใหม่ๆเพิ่มเติม

นั่นก็คือ Technical

สำหรับหลายๆคนแล้วคงไม่แปลกอะไร เพราะน่าจะใช้ในการเทรดเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่ผมเริ่มต้นมาจาก Fundamental แล้วก็อ่านหนังสือ Technical ผ่านๆให้พอฟังคนอื่นรู้เรื่อง

ช่วงก่อนหน้านี้ผมก็ศึกษาหากลยุทธ์ต่างๆ ระบบเทรดต่างๆมาศึกษา

ผมหวังว่า Technical จะช่วยพัฒนาการเทรดของผมขึ้นไปอีก

ซึ่งถ้านำมารวมกับทักษะด้านอื่นๆแล้วสิ่งที่หวังไว้คงจะเป็นไปได้

การเดินทางยังอีกยาวไกล

ซึ่งการเข้าไปฝึกฝนด้าน Technical นี้คงต้องใช้เวลานานพอสมควร

จริงๆแล้วผมเขียนบทความนี้เพื่อบันทึกก่อนการออกเดินทางครั้งใหม่ของผม

เส้นทางที่ผมเลือกให้ฝึกฝนฝีมือด้าน Technical นี้ไม่ง่ายแน่ๆครับ

หวังว่าผมคงจะได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าจากการต่อสู้กับเทรดเดอร์ทั่วโลก

วันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

Bear Market

4 BEAR

Photobucket

วันอังคารที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

Innovation distinguishes between a leader and a follower


"Innovation distinguishes between a leader and a follower."
Steve Jobs



10,000 BC Economics



วันนี้ว่างๆผมเลยนำ DVD เรื่อง 10,000 BC มานั่งดูเล่นๆ
จริงๆแล้วตอนผมดูครั้งแรกก็เห็นประเด็นหลายๆประเด็นทางเศรษฐศาสตร์

เริ่มเรื่องที่เผ่าที่มีชื่อว่า"ยากาห์ล" ซึ่งเป็นเผ่านักล่า ซึ่งในเรื่องเราเห็นการล่า"แมนแนค"หรือแมมม็อธ
ซึ่งจากเนื้อเรื่อง เผ่านี้ขาดแคลนอาหาร อาจจะเป็นเพราะเจ้าแมนแนคไม่ได้หากินบริเวณนั้นบ่อยๆ

ถ้ามาโยงให้เข้ากับสังคมมนุษย์ ชีวิตแรกเริ่มของมนุษย์คือต่างคนต่างอยู่ต่างหากินของตัวเอง
มีสังคมเล็กๆคือครอบครัว และเพื่อนบ้าน
ทุกคนมีอาชีพเป็นนักล่า ล่าสัตว์หรือเก็บของป่าเป็นอาหารไปวันๆ
ต่อมาเมื่อสัตว์เริ่มย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีมนุษย์ การเดินทางไปหาอาหารย่อมเสียเวลามากขึ้น
ดังนั้นจึงต้องมีการแบ่งหน้าที่กันทำ แรกเริ่มอาจจะแบ่งกันภายในครอบครัว
ต่อมาเพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน เช่นเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย ด้านการหาอาหาร
มนุษย์จึงต้องรวมตัวกันเป็นสังคมเล็กๆ แล้วแบ่งหน้าที่กันทำ
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อนเนื้อเรื่องในหนัง นั่นหมายความว่ามนุษย์รู้จักการแบ่งหน้าที่กันมากว่า 10,000 ปี

ใน 10,000 BC เราได้เห็นเผ่ายากาห์ลร่วมมือกันล่า แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางสังคมอย่างชัดเจน
แต่เผ่ายากาห์ลเป็นเพียงวิถีชีวิตที่ล้าหลัง เพราะเราได้เห็นการกสิกรรมของเผ่า"นาคู"
เผ่านาคูมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งหมายถึงการที่ไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน ไม่ต้องออกไปล่าสัตว์ไกลๆ หรือรอให้สัตว์มาหากินใกล้ๆถิ่นฐาน พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามฤดูกาล นำสัตว์ที่เลี้ยงมาเป็นอาหารได้ตลอด และประเด็นสำคัญอีกอย่างคือด้านการสื่อสาร เผ่านาคูมีการส่งสารกันกับเผ่าอื่นๆเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ดีไม่ดีอาจจะมีการทำการค้ากันก็ได้ อย่างการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันหรือที่เรียกว่า barter system อาจจะเกิดขึ้นในสมัยนั้นก็เป็นไปได้

แต่มีอารยธรรมที่เหนือกว่านั้นอีก นั่นคือที่"เทือกเขาแห่งเทพเจ้า" จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นรัฐเผด็จการ มีการใช้ทาส มีระบบการทำงาน แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน จึงมีรัฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ ฯลฯ นับเป็นอารยธรรมที่แทบจะสมบูรณ์แบบก็ว่าได้

ผมเน้นถึงการอยู่ร่วมกัน การเป็นสังคม และการแบ่งหน้าที่บ่อยครั้งในบทความนี้ เนื่องมาจากเศรษฐศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมศาสตร์ การแบ่งหน้าที่กันทำเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจ และเผ่าพันธุ์มนุษย์รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะเรามีร่างกายที่ได้เปรียบหรือมีสมองที่ใหญ่กว่าสัตว์อื่น เพราะมนุษย์เผ่าพันธุ์นีแอนเดอร์ทัลที่ร่างกายและสมองใหญ่กว่าบรรพบุรุษของเรากลับสูญพันธุ์เมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว จากหลักฐานต่างๆพบว่านีแอนเดอร์ทัลเหนือกว่าเราทุกอย่าง แต่กลับไม่มีระบบเศรษฐกิจหรือการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันเลย ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือเด็กต่างไปล่าสัตว์เหมือนกัน
ถ้าคุณต้องออกล่าสัตว์เองทุกวัน สร้างที่อยู่อาศัยเอง สร้างอาวุธเอง ยามอากาศเลวร้ายต้องเอาขนสัตว์มาทำเป็นผ้าคลุมตัวเอง แรกๆเมื่อมนุษย์ยังไม่เยอะ สัตว์ยังไม่ย้ายถิ่นฐานก็พอจะหากินได้สบายๆ แต่เมื่อปัจจัยเปลี่ยน มีการล่าสัตว์มากขึ้น สัตว์ก็เหลือน้อย ก็ต้องเดินทางไกลขึ้นใช้เวลามากขึ้น ย่อมทำให้เวลาในการทำอย่างอื่นลดน้อยลงไป ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะแย่ลงไปด้วย

การดูหนังนอกจากจะได้ความบันเทิงแล้วก็ยังได้อาหารสมองด้วย

วันพฤหัสบดีที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

วันพุธที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

SaneBull Market Monitor

Photobucket

แนะนำเครื่องมือสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามดัชนีตลาดต่างประเทศ และสินค้าโภคภัณฑ์

โดยเราสามารถเซ็ทหน้าจอของเราเองได้ครับว่าต้องการดูอะไรบ้าง เช่นข่าวต่างๆไม่ว่าจะเป็นข่าวเด่นๆทั่วไป ข่าวเกี่ยวกับตลาดทุน ข่าวเศรษฐกิจ และข้อความที่โพสต์ผ่าน Twitter 
ในส่วนของดัชนีก็มีให้เลือกทั้งโลก หรือตลาดโภคภัณฑ์ก็มีพลังงาน อาหารสัตว์ พืช แร่เหล็กต่างๆ ฯลฯ รวมไปถึงอัตราแลกเปลี่ยนสำคัญๆ และบอนด์ของอเมริกา

สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ สามารถดูเป็นรายตัวและสามารถเซ็ทพอร์ทไว้ดูความเคลื่อนไหวได้ครับ

สมัครฟรีได้ที่ SaneBull ครับ

วันจันทร์ที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

Michael Jackson Never Die

ช่วงนี้บรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์ต่างๆ ร้านขาย CD รวมไปถึง Online Store อย่าง amazon และ ebay ล้วนคึกคักไปด้วยบรรดา FC ทั้งแท้และเทียมของราชาเพลงป็อปที่ชื่อ Michael Jackson

ข่าวการเสียชีวิตของ Michael Jackson แม้จะเป็นข่าวร้าย แต่ก็มีโอกาสทางการค้าแฝงอยู่ในข่าวร้ายนี้ด้วย

ยกตัวอย่างโดยนำ link นี้มาให้ดู aMuzic Store 
web link นี้เป็น aStore ของ amazon.com อีกทีนึงครับ โดย amazon จะจ่ายค่าคอมให้เจ้าของ aStore

และสินค้าอันดับ 1 ในหมวด music ของ amazon
เท่าที่ผมเห็น อันดับ2 และ อันดับ5 ในหมวดนี้ก็เป็นของ Michael Jackson



ผมคิดว่าอีกหลายร้านค้าออนไลน์คงทำในลักษณะเดียวกันคือนำ page สินค้าที่เกี่ยวกับ Jackson ขึ้นหน้าแรกเพราะในเวลานี้ชื่อของ Jackson ขายได้ทั้งเพลงและของที่ระลึกต่างๆ

คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือบรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งถ้าเป็นนักร้องนักแสดงมักจะเป็นต้นสังกัด จนกระทั่งลิขสิทธิ์ตามสัญญาสิ้นสุดลงจึงจะตกเป็นของทายาท(โดยมากกว่าจะตกถึงทายาทก็กินเวลาหลายสิบปี) แต่ระหว่างที่ต้นสังกัดยังถือสัญญาส่วนแบ่งจากยอดขายจะยังคงส่งมาให้ทายาทเรื่อยๆเหมือนตอนที่ตัวศิลปินยังอยู่

ผมเห็นว่างานเชิงศิลป์ต่างๆ ที่มีลิขสิทธิ์มักจะเป็นอมตะ แม้บางอย่างเช่นงานเขียนอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่สวยหรูในระยะสั้น แต่ถ้างานชิ้นนั้นมีคุณภาพมันจะส่งผลในระยะยาว

ถ้ามีคนที่ทำงานในลักษณะนี้มาอ่าน ผมขอให้กำลังใจในการทำงานครับ 
สักวันนึงคุณจะเป็นอมตะได้เช่นเดียวกับศิลปินดังๆ

วันศุกร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

Limit Risk per Trade

สำหรับการเทรดหุ้นและ/หรืออนุพันธ์ต่างๆมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เสมอๆ

ทำให้เราประสบกับปัญหาต่างๆ

ในหลายๆครั้งเราไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ เกิดอาการกลัวไม่กล้าขายขาดทุน

เมื่อเห็นเสียหายหนักๆแล้วยอมตัดใจขายก็สายไปซะแล้ว

ดังนั้นก่อนที่เราจะซื้อหรือเปิดสถานะ เราควรจะมีกลยุทธ์สำหรับป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันด้วย

ผมเลยมาแนะนำหนึ่งในเครื่องมือที่ส่วนใหญ่รู้จักกันดีอยู่แล้ว นั่นคือการกำหนดจุดที่จะตัดขาดทุนหรือเรียกว่า Cut Loss

แต่ผมจะเพิ่มเติมโอกาสในสถานการณ์ที่ราคาหุ้นขึ้นด้วย

เราจะใช้ Limit Risk โดยการกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์เอาครับ เช่น 2% 3% 5%

แต่เราจะไม่กำหนดโดยการใช้ราคาที่เข้าซื้อเป็นฐานตลอด

เราจะใช้การลอยตัวตามราคาหุ้นที่ขึ้นไป

โดยเราจะใช้ราคา high เป็นฐานครับ

ยกตัวอย่างเช่น ผมซื้อ Major เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่ราคา 6.65 บาท ผมจะใช้ 6.65 เป็นฐานก่อน

ราคาหุ้น Major ขึ้นไปได้สูงสุดที่ 7.00 บาท ผมเลื่อนมาใช้ 7.00 เป็นฐานแทน

แม้ราคาจะลงไป 6.95 บาท ผมก็ยังใช้ 7.00 เป็นฐาน เพราะมันสูงกว่า

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นมาดูตารางกันดีกว่า


Photobucket
enter คือจุดเข้า
high คือราคาสูงสุด
% คือการตั้ง Limit Risk ของเรา
limit คือจุดขายเมื่อราคาลงมาแตะจุดนั้น
sold คือการปรับตัวเลขให้ตรงตาม spread ที่ตลาดระบุไว้เพื่อให้ขายได้จริง


จะเห็นได้ว่าเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นไปแล้วเราเลื่อนจุดตามขึ้นไปด้วย ฐานที่เราจะ cut lossจากขาดทุนจะขาดทุนน้อยลง

เมื่อราคาขึ้นไปอีกจากขาดทุนจะเท่าทุน(ผมไม่ได้รวมค่า com) จนกระทั่งจุด cut loss จะไม่ใช่ cut loss อีกต่อไป เพราะมีกำไรแล้ว

กลยุทธ์นี้นอกจากจะช่วยไม่ให้เราเสียหายมากแล้ว ในกรณีที่เราเข้าถูกจังหวะ มันจะช่วยไม่ให้เราลังเลที่ถือต่อไป(Let Profit Run)

หลายคนที่ซื้อแล้วได้กำไรแต่พอราคาลงมาก็ถือจนกลายเป็นขาดทุน เพราะให้บางทีโลภเกินไป หวังว่ามันจะกลับตัว แต่ความจริงอาจจะหมดรอบไปแล้ว
กลยุทธ์นี้ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้เช่นกัน

แม้จะไม่ได้ขายในราคาที่สูงที่สุด(อย่าหวังจะได้ซื้อต่ำสุดและขายสูงสุด)
แต่นับเป็นทางเลือกที่ดีในการนำไปใช้ในระยะยาว

ได้เวลาปัดฝุ่น

จู่ๆก็เริ่มมีไฟอยากจะกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง

คราวนี้ผมจะพยายามเขียนให้ได้ต่อเนื่องมากขึ้น

เนื้อหาแน่นขึ้น

หวังว่าจะมีคนติดตามผลงานนะ

วันอังคารที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒