วันศุกร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Disposition Effect

ทนถืออยู่บนดอยตั้งนาน พอขึ้นมารับแล้วรีบขาย ???

ขายหุ้นที่ได้กำไร แต่ถือหุ้นที่ขาดทุน ???


เรื่องนี้เป็นเรื่องของจิตวิทยาล้วนๆ คือไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง

ทนถือหุ้นที่ขาดทุนนานๆ พอราคาขึ้นมาเท่าทุนกลับขายทิ้ง น่าแปลกนะครับ ถือไว้ให้เสียเวลาทำไมตั้งนาน

การถือหุ้นที่ขาดทุนและขายหุ้นที่ได้กำไร น่าแปลกเช่นเดียวกัน หุ้นที่ได้กำไรน่าจะเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มดีต่อไปกลับขายแต่ถือหุ้นแย่ๆที่ราคาลดลงเรื่อยๆไว้

ในหนังสือจิตวิทยาการลงทุนได้เรียกพฤติกรรมนี้ว่า Disposition Effect
ผู้คนมักจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ตัวเองเสียใจ(ขายขาดทุน) แต่จะเสาะแสวงหาความภูมิใจ(ขายได้กำไร)
ถ้าต้องการจะซื้อหุ้นตัวนึงแต่ไม่มีเงินแล้ว และต้องขายหุ้นในพอร์ทออกมาซื้อ คนส่วนมากมักจะเลือกขายหุ้นที่ได้กำไร แล้วเก็บหุ้นที่ขาดทุน
เพราะเป็นการยืนยันความถูกต้องที่ซื้อหุ้นตัวที่กำไรมา
ส่วนตัวที่ขาดทุนรอขายตอนกำไรเพื่อยืนยันความถูกต้องของตัวเอง จึงต้องถือไว้ก่อน

ลองดูครับว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้รึเปล่า

วันอาทิตย์ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ROE & ROA

ROE=(Net income/Sales)*(Sales/Assets)*(Assets/Equity)

Net income/Sales =Net Profit Margin กำไรกี่บาทจากทุกๆการขาย1บาท ยิ่งมากยิ่งดีแสดงว่าราคาสินค้ามีMarginสูง

Sales/Assets= Assets Turn Over สินทรัพย์ที่มี1บาท สามารถสร้างกำไรได้กี่บาท ยิ่งมากยิ่งดีแสดงว่ามีการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ อาจขายสินค้าเน้นปริมาณ

Assets/Equity= Financial Leverage สินทรัพย์ที่มี1บาทมาจากทุนกี่บาท ยิ่งต่ำยิ่งเสี่ยงน้อย ถ้าค่านี้ออกมาต่ำแสดงว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่มาจากทุน ถ้าสูงแสดงว่ามาจากการก่อหนี้


ROA=(EBIT/Sales)*(Sales/Equity)*(Equity/Total Assets)

Net Profit/Total Assets สินทรัพย์1บาทก่อให้เกิดกำไรกี่บาท/%

Sales/Equity ทุน1บาทได้ยอดขายกี่บาท

Net Profit/Equity ทุน1บาทได้กำไรกี่บาท

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

มีประสบการณ์ในการเล่นหุ้นมากี่ปีแล้วครับ และคิดเองหรือเล่นตามเซียนครับ

ผมมีประสบการณ์มายังไม่ถึง2ปี พ่อแม่ไม่ใช่คนเล่นหุ้นซะด้วย ผมถือว่าผมยังเป็นมือใหม่มากๆสำหรับตลาดหุ้น

ผมว่าในช่วง3ปีแรกของการเข้ามาเล่นในตลาดนี้เป็นการเรียนรู้และค้นหาแนวทางการเล่นที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง ดังนั้นผมถือว่าคนที่ได้กำไรในช่วง3ปีแรกนี้ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จครับ อาจจะฟลุ๊กก็ได้ ส่วนคนที่ขาดทุนก้อต้องหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป แนวทางที่เหมาะสมนี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็น vi vs daytrade หรืออะไรก็ตาม ขอแค่เล่นแล้วมีกำไรก็พอครับ

พอเริ่มปีที่3 จะเป็นปีที่วัดผลกันจริงๆ ผลที่ได้ในปีนี้น่าจะเป็นการวัดว่าสามารถที่จะทำกำไรได้ในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ ถ้าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำถือว่าสอบผ่าน(ในขั้นต้นเท่านั้น) ถ้าจะวัดผลจริงๆควรจะมีประสบการณ์มากกว่า12ปีขึ้นไปและสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะถือว่าครบรอบcycleพอดี น่าจะผ่านวิกฤติต่างๆมาเกือบครบแล้ว

แต่ถ้าเล่นมา12ปีโดยมีกำไรเยอะแยะ แต่ลอกเค้ามาถือว่าไม่ผ่านเช่นเดียวกันครับ น่าจะแย่กว่าน้องใหม่ที่เข้ามาปีแรกแต่พยายามหาหุ้นเองซะอีก ลอกได้ครับแต่ควรจะหาเหตุผลต่างๆมาประกอบได้เช่นบริษัทนี้ทำกิจการอะไร แนวโน้มดีรึป่าว มีกำไรเท่าไหร่ กราฟเป็นยังไง และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย ก่อนซื้อควรต้องรู้จุดซื้อ-ขาย(สำหรับคนที่เล่นรอบ) ควรรู้มูลค่าของบริษัท(สำหรับ vi) ควรรู้พฤติกรรมของหุ้น(สำหรับชาว daytrade) ถ้ายังถามจุดซื้อจุดขายจากคนอื่นอยู่ แสดงว่าไม่คิดจะขวนขวายแล้วพยายามหาแนวทางของตัวเองเลย แนะนำว่าให้ไปเริ่มต้นอ่านหนังสือใหม่ครับ กลับไปเรียนรู้ใหม่ เพราะไม่คนที่จะคอยมาบอกจุดซื้อจุดขายได้ทุกวันหรอก

อีกอย่างนึงครับ การซื้อหุ้นตามคนอื่นจุดซื้อ-ขายของแต่ละคนก้อต่างกัน หุ้นตัวเดียวกัน ทำไมบางคนกำไร ทำไมบางคนขาดทุน อย่าง trc ผมซื้อตั้งแต่ผมแรกที่ผมบอก ต้นทุนอยู่ที่4บาทกว่าๆ แต่เห็นหลายๆคนมาซื้อที่5บาท คนที่คิดเองจะได้เปรียบครับเพราะเค้าดูหุ้นตัวนั้นตั้งแต่แรก(ผมเคยซื้อที่2.1ด้วยครับเมื่อปีที่แล้วขายรอบนั้นหมดไปแล้ว) ทำการบ้านมาแล้ว และรู้ว่ามันจะวิ่งยังไงบ้าง แต่คนที่ซื้อตามไม่รู้แน่ๆ ถือไว้โดยที่ยังไม่รู้ว่าบริษัทมันดียังไง ได้กำไรยังไง ราคาตกก็นอนไม่หลับ แถมไม่กล้าขายเพราะไอคนแนะนำมันยังไม่ยอมขายเลย น่าจะมีอะไรดีๆ(กลัวขายหมู) ถ้ายังเล่นแบบนี้นะครับโดยที่ไม่คิดจะหาวิธีเล่นเอง ผมว่าเลิกเล่นดีกว่าครับ(ขอโทษด้วยที่พูดตรงไปหน่อย) ลองคิดดูแล้วกันว่าไปเชื่อคนที่ไม่รู้จัก ซื้อหุ้นตามเค้า ถ้าถูกหลอกละครับ เช่นผมอาจจะรอปล่อยของก็ได้ใครจะไปรู้ เกมส์ในตลาดหลักทรัพย์มีกลโกงเยอะแยะครับ โลกของทุนนิยมคือการล่าทุนครับ ประมาณว่าล่าอาณานิคมในสมัยก่อน พวกต่างชาติกับกองทุนมีทุนหนา เปรียบเสมือนมีกองกำลังขนาดใหญ่ แต่รายย่อยมีทุนน้อย สู้ไม่หรอกครับ ยิ่งวิ่งตามคนอื่นไปสู้โดยไม่รู้ว่าจะชนะรึป่าวแต่เชื่อว่าชนะเพราะตามคนเก่ง ผมว่ามันตลกครับ ถ้ากองกำลังของเรามีน้อย ก็ควรทำให้กองกำลังเก่งและแข็งแกร่งครับ แต่ควรจะเริ่มสร้างความแข็งแกร่งจากแม่ทัพก่อนครับ ถ้าแม่ทัพเก่งต่อไปกองทัพเล็กๆจะยิ่งใหญ่ได้ แต่ถ้าแม่ทัพห่วยๆกองทัพใหญ่ๆจะตายหมดได้ครับ

ฝากไว้ครับเพราะผมอยากให้ทุกๆคนเดินได้ด้วยลำแข้งของตัวเองมากกว่า ส่วนผมยังต้องฝึกฝนอีกเยอะครับ

วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

การเก็งกำไรกับการลงทุน

การเก็งกำไรคือการตกปลา บางคนก็ได้ปลามาเป็นกอบเป็นกำทุกครั้ง บางคนก็เสียเหยื่อไปฟรีๆ บางคนอาจถึงขั้นตกเรือโดนปลากินอีกต่างหาก

การลงทุนคือการสร้างบ่อเลี้ยงปลา ค่อยๆสร้าง แรกๆได้ปลานิดเดียวแต่ลงทุนไปเยอะ นานๆเข้าก็แค่คอยดูแลไปเรื่อยๆก็มีปลาให้กินทุกวัน

เวลาผ่านไปสิบปี

คนตกปลาก็ต้องออกไปหาปลาเรื่อยๆถ้าอยากได้ปลา
คนเลี้ยงปลาไม่ต้องออกไปหาก็ได้ปลามากินทุกวัน

ไม่สงวนลิขสิทธิ์ กรุณาเผยแพร่

Last edited by CK on Thu Jun 19, 2003 1:36 pm; edited 1 time in total

วันเสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Opportunity Day

Opportunity Dayถือเป็นวันแห่งโอกาสอย่างแท้จริงที่นักลงทุนจะได้เข้าใจในกิจการมากขึ้นและประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลได้มากทีเดียว

Opportunity Day จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์
ใช้เวลาแค่1ชั่วโมง ครึ่งไปนั่งฟังผู้บริหารระดับสูงที่นำทีมม่ให้ข้อมูลของบริษัท มีเอกสารและการบรรยาย ซึ่งทำให้เห็นภาพการประกอบธุรกิจอย่างชัดเจน ทำให้เราเห็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และแนวโน้มของกิจการ นับว่าคุ้มค่ามากครับ นอกจากนั้นยังมีการQ-Aหรือถาม-ตอบด้วย ซึ่งในOpp Dayจะมีนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์มานั่งฟังพร้อมกันกับเราด้วย เพราะฉะนั้นมีคนทำการบ้านมาเยอะแน่นอน การที่นักลงทุนรายย่อย,นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ช่วยกันซักถาม จะทำให้เราได้รับข้อมูลในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น และมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย

ตั้งแต่ต้นเดือนหน้าจะเริ่มมีOpp Dayจัดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ ติดตามหาข้อมูลว่าบริษัทที่เล็งๆไว้จะมาOpp Dayวันและเวลาไหน ได้ที่เว็บไซท์ของ TSI Settradeหรือโทรไปถามได้ที่02-229-2222ครับ

อย่าพลาดโอกาสดีๆนะครับ

วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงในตลาดหุ้นไทย

น่าแปลกใจทีเดียวที่หุ้นพื้นฐานดีดีที่ผมกำลังหาข้อมูลอยู่ราคานิ่งมาก และบางตัวราคาปรับตัวลดลงไปซะด้วยสิ
ผมสังเกตุดูจึงได้รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บรรดาผู้คนต่างแห่กันเข้าไปซื้อหุ้นบิ๊กแคปกันเป็นจำนวนมาก บางคนทิ้งหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่พื้นฐานดีๆเพื่อเข้าไปเก็งกำไรกับบรรดากลุ่มน้ำมันและกลุ่มเรือ

ผมหวาดเสียวแทนจริงๆครับ เพราะดูก็รู้ว่านี่มันคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติชัดๆ สิ่งที่ผมวิตกมีอยู่3อย่างด้วยกัน
  1. ทันทีที่นักลงทุนต่างชาติถอนทุนไปเก็งกำไรที่อื่นต่อจะเกิดอะไรขึ้นกับนักลงทุนชาวไทยที่พึ่งซื้อหุ้นบิ๊กแคปในช่วงนี้
  2. ดัชนีSET INDEXที่ไม่มีความสมดุล โดยหุ้นเพียงแค่ไม่กี่ตัวสามารถกำหนดทิศทางของ SET INDEXได้
  3. การที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนดทิศทางดัชนีเสมือนกับตลาดแห่งนี้เป็นของชาวต่างชาติ

ผมคิดว่าทางตลท.น่าจะสอนให้นักลงทุนทราบถึงความหมายของการลงทุนที่แท้จริง สอนให้นักลงทุนชาวไทยลงทุนในกิจการ ต้องการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจมากกว่าที่จะไปสนใจราคาหุ้น ผมอยากรู้จริงๆว่าราคาของบรรดาหุ้นบิ๊กแคปขึ้นมามากในระยะเวลาอันสั้นเป็นเพราะตัวธุรกิจที่ดีขึ้นหรือเปล่า อย่างวันนี้PTT บวกประมาณ5% ถามว่าวันนี้วันเดียวบริษัทมีกำไรเพิ่ม5%รึเปล่า บางคนอาจจะบอกว่าราคาน้ำมันขึ้น แต่ผมว่าคงต้องแยกแยะให้ออกว่าปตท.ต้องซื้อน้ำมันเข้ามาเหมือนกันนะครับ ต้นทุนก็ควรจะสูงขึ้น นักลงทุนควรที่จะไปดูว่าภาคธุรกิจอะไรในปตท.ได้กำไร และส่วนไหนบ้างที่ขาดทุน ผมไม่ได้หมายความว่าปตท.ไม่ดีนะครับ แต่ควรจะพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วหรือที่จะซื้อหรือขาย ถ้าคุณเห็นว่าดีจริงคุณน่าจะซื้อตั้งแต่ราคาต่ำๆ แล้วถ้าบริษัทขอถอนตัวออกจากตลาดคุณจะยังกล้าถืออยู่รึเปล่า

จริงๆแล้วผมคิดว่าน่าจะห้ามเล่น net(ซื้อขายหักลบกันภายในวันเดียว)กับหุ้นทุกตัว และใครถือหุ้นต่ำกว่า3เดือน น่าจะเสียภาษีจากกำไรที่ได้ เหตุผลที่ต้องเป็น3เดือนเพราะอยากให้ดูผลประกอบการของบริษัทเป็นหลักให้การตัดสินใจซื้อ-ขาย เรื่องset indexที่ไม่มีความสมดุลน่าจะมีวิธีการแก้บางนะครับแต่ผมไม่ทราบกลไกทางนี้จริงๆเลยไม่อยากออกความคิดเห็นใดๆ

เรื่องนักลงทุนต่างชาติที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาซื้อ-ขาย ส่งผลต่อตลาดหุ้นบ้านเรามากทีเดียว แต่ปัญหานี้น่าจะลดลงไปถ้านักลงทุนบ้านเราเป็นนักลงทุนกันจริงๆไม่ใช่นักเก็งกำไร ซื้อกิจการดีๆในราคาที่เหมาะสมแล้วถือไปเรื่อยๆ คนไทยทุกๆคนน่าจะมีส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการของชาวไทยกัน จริงๆผมแอบหวังไว้ว่าคนไทยทุกสาขาอาชีพ น่าจะได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน มันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ทำให้เราหันมาอุดหนุนบริษัทของคนไทยด้วยกันเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงภายในประเทศ และที่สำคัญเงินปันผลจะช่วยให้เรามีเวลาให้ครอบครัวกันมากขึ้น ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ระยะเวลาจะทำให้บริษัทโตขึ้นและสามารถจ่ายปันผลได้มากขึ้นเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

5บริษัทไทยใน Forbes-Asia's 200 Best Under A Billion (ตอนจบ)

เอาล่ะครับทีนี้เรามารู้จักกับ5บริษัทของไทยที่ติดอันดับ Forbes-Asia's 200 Best Under A Billionที่คัดมาจาก20,000บริษัทในเอเชียกันดีกว่า(ขอเรียงตามตัวอักษรแล้วกัน)

บริษัทแรก บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) ชื่อในตลาดหลักทรัพย์ aprint
ราคาปิดณ วันที่10ตค.2550 ;13.70 บาท
เป็นเพียงบริษัทเดียวในหมวด publishing ที่ติดอันดับ

คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักบริษัทอมรินทร์ เพราะอมรินทร์เป็นเจ้าตลาดนิตยสารชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านและสวน,แพรว,ชีวจิตและอื่นๆอีกมากมาย และยังมีpocket bookที่เป็นของทางสำนักพิมพ์ในเครืออีกมากมาย อีกทั้งยังมีร้านค้าปลีกชื่อ "ร้านนายอินทร์" เรามารู้จักประวัติคร่าวๆกัน

จากกองบรรณาธิการเล็กๆที่ คุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ รวบรวมสมัครพรรคพวกและพนักงานจำนวนหนึ่งจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัดวารสารบ้านและสวน เริ่มผลิตนิตยสาร "บ้านและสวน" ฉบับแรกออกวางตลาดในเดือนกันยายน 2519 โดยอาศัยการพิมพ์จากโรงพิมพ์ภายนอก ต่อมาจึงได้มีการก่อตั้งโรงพิมพ์ในรูปของ ห้างหุ้นส่วนจำกัดอมรินทร์การพิมพ์ เพื่อพิมพ์นิตยสารเอง ขณะเดียวกันก็รับจ้างงานพิมพ์อื่นๆ ด้วย

กิจการที่ขยายตัวขึ้นทำให้บริษัทฯมีความจำเป็นต้องระดมทุน จึงได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น "บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน)"

ในปีเดียวกันนั้น บริษัทฯได้ขยายกิจการด้านการจัดจำหน่าย โดยตั้งบริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด และปัจจุบันบริษัทฯถือหุ้นอยู่ร้อยละ 19 ของทุนจดทะเบียน เพื่อทำหน้าที่ดูแลการจัดจำหน่ายสิ่งพิมพ์ทั้งหมด รวมถึงการจัดตั้งร้านค้าปลีกขึ้นโดยให้ชื่อว่า "ร้านนายอินทร์"

หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่คุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง ได้วางรากฐานไว้ คือการทำงานด้วยใจรัก และมุ่งเน้น การทำงานให้มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า ดั่งปณิธานที่ว่า

"เราทำงานเพื่อความรุ่งโรจน์ และความสุขของสังคม"

จาก "นิตยสารบ้านและสวน" บริษัทฯได้ขยายกิจการโดยการออกนิตยสารใหม่ๆ เป็นระยะ คือ นิตยสาร "แพรว", "สุดสัปดาห์", "ชีวจิต", "Health & Cuisine", "National Geographic ฉบับภาษาไทย", "Room" , "WE" , "Real Parenting" , "Shape" , "InStyle" และมีสำนักพิมพ์หนังสือเล่มอีก 13 สำนักพิมพ์ ผลิตหนังสือครอบคลุมหลากหลายกลุ่มนักอ่านทั่วประเทศ

ปัจจุบันกิจการของบริษัทสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สายงานคือ ธุรกิจสำนักพิมพ์ , ธุรกิจโรงพิมพ์ และ ธุรกิจจัดจำหน่าย บริษัท อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด เพื่อศักยภาพสูงสุดในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์คุณภาพสู่สังคมไทย

จุดแข็งของaprintคือgoodwillครับ พูดง่ายๆว่าตัวแบรนด์มีความแข็งแกร่งสูงมาก loyaltyค่อนข้างสูง แต่รายได้หลักไม่ได้มาจากการพิมพ์นะครับ มากจากค่าโฆษณาในหนังสือ แล้วการเปิดร้านนายอินทร์เป็นการส่งเสริมธุรกิจในเครือได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าถามว่าจะโตแบบก้าวกระโดดมั้ย? คำตอบคือไม่ครับ แต่จะโตแบบยังยืนมากกว่า (ใครสนใจหุ้นaprintก็ไปหาข้อมูลกันเองนะครับ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บริษัทที่สองคือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) ชื่อย่อBGH หรือที่คนรู้จักกันดีในนามโรงพยาบาลกรุงเทพ
ราคาปิดวันที่10 ตค. 2550 อยู่ที่ 40 บาท
เป็นบริษัทเดียวกลุ่มhospitalที่ติดอันดับ

ตงไม่มีใครไม่รู้จักเครือโรงพยาบาลกรุงเทพแน่นอน หลายๆคนคงเคยใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนรายนี้ ผมเองก็เป็นลูกค้า(ไม่ประจำ)ของที่นี่ จากประสบการณ์ส่วนตัวต้องยอมรับว่าการให้บริการดีจริงๆครับ ซึ่งที่นี่เน้นมากๆ เนื่องเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนและชาวต่างชาติ

ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพให้ความสำคัญอย่างยิ่งและได้ปรับระบบการบริหารงานให้กระชับ คล่องตัว เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการ และสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจจนในที่สุดโรงพยาบาลกรุงเทพ ก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานการบริการด้วยระบบคุณภาพ มอก./ISO 9002 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเทียบเท่ามาตรฐานโลกเป็นระยะเวลากว่า 27 ปี ที่โรงพยาบาลได้ถือก่อตั้งขึ้น และก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน อาคารที่เคยมีเพียง 6-7 ชั้น กลายเป็น อาคาร 16 ชั้น กลายเป็นสถานพยาบาลที่เป็นที่พึ่งของผู้ป่วยทุกชาติทุกภาษา สิ่งที่เรายังคงภาคภูมิใจและยึดถือเสมอมาคือ คำขวัญที่กล่าวว่า ณ สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์และความเมตตาปราณีมาบรรจบกัน

โรงพยาบาลกรุงเทพ มุ่งมั่นในการปรับปรุงคุณภาพงานบริการ และการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล รวมทั้งได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO 9002 รวมทั้งได้พัฒนาระบบคุณภาพอย่างต่อเนื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ของ ISO จนได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 ในปี 2544 และในปีเดียวกันนั้นได้รับรองมาตรฐานโรงพยาบาล (HA : Hospital Accreditation) จากสถาบันพัฒนา และรับรองมาตรฐานโรงพยาบาล (พรพ.) ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นในอันที่จะรักษาเกียรติคุณที่ได้รับ และพัฒนาให้เจริญขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นตลอดไป

ในปี พ.ศ. 2544
โรงพยาบาลกรุงเทพเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ได้รับรางวัลผู้ประกอบการดีเด่นประเภทธุรกิจบริการ (สาขาโรงพยาบาล) Prime Minister's Export Award 2001 จากกรมส่งเสริมการส่งออกกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่สามารถให้การบริการที่ดีเลิศต่อผู้ป่วยชาวต่างประเทศ จนสามารถนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทยจำนวนมาก และเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ในการรองรับผู้ป่วยชาวต่างชาติ โรงพยาบาลกรุงเทพได้เปิดศูนย์บริการผู้ป่วยต่างประเทศ ในระบบ One Stop Service พร้อมล่าม 26 ภาษา และหน่วยบริการฉุกเฉินทั้งทางบก และทางอากาศ ด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์สูง ที่พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับความปลอดภัยสูงสุด

โรงพยาบาลกรุงเทพ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการพัฒนาสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญศูนย์เฉพาะระบบอย่างครบวงจร ผู้ใช้บริการมั่นใจได้กับคุณภาพการบริการเหนือระดับโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมให้การดูและสุขภาพอย่างเท่าเทียมแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 และ Hospital Accreditation (HA) รับรอง และประกันคุณภาพตลอดจนได้รับการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาล ฉบับปีกาญจนาภิเษก HA เป็นครั้งที่ 2 จากสถาบันพัฒนารับรองคุณภาพโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการที่จะพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ และคงไว้ซึ่งมาตรฐาน จริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างต่อเนื่องตลอดมา

นอกจากนี้... โรงพยาบาลยังได้คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากกระบวนการรักษาพยาบาลต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงความปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ และสุขภาพอนามัยของบุคลากรทุกระดับซึ่งเป็นผู้ให้บริการโดยตรงต่อผู้ป่วย จึงได้นำเอามาตรฐาน ISO 14001 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม และมาตรฐาน มอก. 18001/OHSAS18001 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มาปรับใช้ภายในองค์กร และผ่านการรับรองระบบการจัดการทั้งสองจากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) เมื่อเดือนมีนาคม 2546

จุดเด่นคือบริการที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงมากในระดับนานาชาติ อาจจะแพ้BHหน่อยแต่มีสาขาครอบคลุมไปทั่วหัวเมืองสำคัญๆในไทย และยังมีสาขาในต่างประเทศอีกมากมาย นับว่าเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บริษัทต่อมา Thai Carbon Black ชื่อย่อTCB
ราคาปิดวันที่10 ตค.2550 อยู่24.30
เป็นหนึ่งใน4บริษัทจากกลุ่มchemicalsที่ติดอันดับ

ผมยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จักบริษัทนี้ดีพอครับ รู้คร่าวๆว่าเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผงเขม่าดำ (Carbon Black) ทั้งในและ
ต่างประเทศซึ่งใช้มากในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ ตัววัตถุดิบที่ใช้ใน การผลิตผงเขม่าดำคือ ตัว (Carbon Black Feedstock Oil) สั่งซื้อมาจากสหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตปัจจุบัน ทางบริษัทฯ ผลิตเต็มกำลังการผลิต 65,000 ตันต่อปี TCBส่งออกCabon Blackให้กับต่างประเทศในสัดส่วน50% ประเทศหลักๆคือญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บริษัทที่4 TEAM PECISION ชื่อย่อว่าteam
ราคาปิดณ วันที่10ตค. 2550 ;9.25บาท
เป็นหนึ่งใน13บริษัทในกลุ่ม semiconductors ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่อันดับสองในการจัดอันดับ

teamประกอบธุรกิจผลิตและประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ตามความต้องการของลูกค้าภายใต้การบริหารของคณะกรรมการร่วมกัน โดยที่การจัดสรรงานและลูกค้าสำหรับบริษัทและบริษัทย่อยจะเป็นไปตามความเหมาะสมของเครื่องจักร และขั้นตอนการผลิตของแต่ละโรงงาน โดยที่บริษัทซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังจากบริษัทย่อย มีเครื่องจักรที่มีความทันสมัย และมีขั้นตอนการผลิตที่ต่อเนื่อง รวมทั้งมีขั้นตอนการผลิตเฉพาะอย่าง เช่น Chemical Compound Encapsulation และการประกอบแผงวงจรอ่อน (Flexible Circuit)

ลูกค้าของบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของยี่ห้อสินค้า (Original Brand Name Producer) ผู้ผลิตสินค้าต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer : OEM) หรือผู้รับจ้างออกแบบผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิกส์ (Design House) จะเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ และบริษัทจะรับผลิตและประกอบแผงวงจรอิเลคทรอนิกส์ รวมทั้งการทดสอบการทำงานของแผงวงจรอิเลคทรอนิกส์ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติและการทำงานตามที่ลูกค้าต้องการ

ลูกค้าของteamมีsony pioneer sharp ford oticon เป็นต้น

จุดเด่นของทีมอยู่ที่การควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี โอกาสที่สินค้าจะชำรุดเสียในการผลิตมีแค่ 3/1,000,000 หรือ0.000003% ที่สำคัญผู้บริหารทำงานจริงจังไม่ขี้โม้ครับ(ชอบมากๆ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายแล้วครับ บริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือuec
ราคาปิด ณ วันที่10 ตค.2550 ;38บาท

ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างออกแบบ การผลิต และการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในกระบวนการ
ผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด (made to order) โดยผลิตภัณฑ์หลักของ
บริษัทฯแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. ภาชนะความดัน (Pressure Vessel) ได้แก่ ภาชนะบรรจุสารเคมีที่ถูกออกแบบให้สามารถทนต่อ
แรงดันในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมได้ ตัวอย่างสารเคมี เช่น น้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลวแอมโมเนีย
คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจน เป็นต้น
2. ชิ้นส่วนเครื่องจักร (Machinery Parts) เช่น ชิ้นส่วนเครื่องปรับอุณหภูมิอากาศ (Part of Air
Preheater) ชิ้นส่วนเตาเผา (Part of Incinerator) ปล่องควันไอเสียโรงงาน (Stack) และเสื้อพัดลม
(Fan Casing) เป็นต้น
3. โครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) โดยส่วนใหญ่ใช้สำหรับในงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม
ปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น โครงสร้างเหล็กของอาคารโรงงาน เป็นต้น
4. ภาชนะบรรจุสารเคมี (Chemical Tank) เช่น ถังเก็บน้ำมัน เป็นต้น
5. การติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ (Mechanical Installation) เช่น การวาง ระบบท่อใน
โรงงานปิโตรเคมี เป็นต้น

สำหรับuecถือว่าเป็นหุ้นที่เติบโตสูงมากๆ นับเป็นดาวเด่นประจำปีนี้เลยทีเดียวครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทั้ง5บริษัทเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทัพย์ครับ ถ้าสนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มได้ครับ

วันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

5บริษัทไทยใน Forbes-Asia's 200 Best Under A Billion (ตอนแรก)

จากการจัดอันดับ 200บริษัทยอดเยี่ยมของเอเชียที่มีมูลค่าบริษัทไม่ถึง1,000ล้านเหรียญ ปรากฎว่ามีบริษัทไทยติดอันดับอยู่ด้วย5บริษัท แต่ผมจะขอบอกรายละเอียดคร่าวๆว่าบริษัทจากประเทศไหนบ้างที่ติดอันดับ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดอันดับมากที่สุด10อันดับ

ประเทศ (บริษัท)
1.Taiwan (41)
2.China (23)
3.Hong Kong (22)
Japan (22)
5.South Korea (21)
6.Singapore (20)
7.India (17)
8.Australia (12)
9.Malaysia (9)
10.Thailand (5)
11.New Zealand (4)
12.Pakistan (2)
13.Philippines (1)
Srilanka (1)

ดูจากอันดับประเทศที่มีบริษัทติดอันดับมากๆแล้วไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจโตแบบฉุดไม่อยู่น่าจะต้องติดเยอะ ส่วนด้านเทคโนโลยีไต้หวัน,ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นผู้ผลิตหลักๆของโลกอยู่แล้ว

ลองมาดูประเภทอุตสาหกรรมกันต่อดีกว่า(ผมเลือกเฉพาะ10อุตสาหกรรมที่มีบริษัทติดมากที่สุด)

อุตสาหกรรม (บริษัท) -ต่อด้วยตัวเลขที่น่าสนใจ
1.electrical components (20) -Taiwan (12) Japan (4) South Korea (2)
2.Semiconductors (13)-Taiwan(8) Japan (2) South Korea (2) และ Thailand (1) ของประเทศไทยคือบริษัท Team Precision
3.Industrial equipment (9)
4.metal working (8)
5.drugs (7)-India(3) South Korea (3) Hong Kong(1)
6.mining (5) Australia ทั้ง5เลยครับ
7.auto parts (4)
real estate development (4)
women apparel (4)
Chemicals (4)- มีบริษัท Thai Carbon Black ของไทยอยู่ด้วย

ประเภทของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเพราะเราได้รู้ถึงเทรนด์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ที่ผมสังเกตุเห็นคือไต้หวันมีบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดอันดับเยอะมาก ที่สำคัญยังมีกลุ่มที่ไม่ติดสิบอันดับนี้แต่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่2โดยตรงคือ semiconductor machinery (3) โดยมีบริษัทไต้หวันถึง2จาก3บริษัทในกลุ่มนี้
แต่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่บริษัท Team Precision หรือชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า Team อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย อย่างน้อยก็มีบริษัทไทยที่เกาะเทรนด์นี้ไปด้วย

พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้ผมจะมาต่อเรื่อง5บริษัทไทยว่ามีอะไรบ้างและใครทำธุรกิจอะไรกัน

วันพุธที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สินค้าที่จับต้องไม่ได้

ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน โลกทางการค้าได้พัฒนารูปแบบขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนมีการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้ากันโดยตรง ต่อมาได้มีการใช้สัญลักษณ์แทนให้การแลกเปลี่ยน ยุคแรกเป็นพวกเบี้ยต่างๆปัจจุบันก็เป็นเงินตราสกุลต่างๆ

ในปัจจุบันคนเราเริ่มจับต้องเงินตรากันน้อยลง แต่ให้เลขดิจิตอลในการใช้จ่าย รูปแบบที่เห็นได้ชัดเจนคือ บัตรเครดิต,เช็ค และการโอนเงินผ่านทาง atm หรือผ่านอินเตอร์เนต สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาอีกคือบัตรเครดิตสำหรับอินเตอร์เนตที่เรียกว่า e-webcard ซึ่งธนาคารจะให้เลขที่บัตรกับเลขหลังบัตร3ตัวมา แต่ไม่มีบัตรจริงๆ(ซึ่งผมใช้อยู่แล้วยอมรับว่าสะดวกมาก) ล่าสุดผมได้ซื้อเกมmonopoly(บ้านเราเรียกว่าเกมเศรษฐี) และเกมchocolatier(ประมาณว่าเป็นพ่อค้าช็อกโกแลต) มาจากเวบgamehouse.com ประเด็นที่ผมต้องการจะบอกอยู่ตรงนี้ครับ ทางgamehouseไม่ได้ส่งcdหรือdvdหรืออะไรมาให้ผมเลย ผมต้องทำการdownload fileจากเวบมาเอง และนำuserกับรหัสที่ทางgamehouseส่งมาให้ทางอีเมลหลังจากจ่ายเงินแล้วมาลงทะเบียนอีกที

พวกซอฟท์แวร์ต่างๆจริงๆแล้วผมถือว่าเราไม่สามารถจับต้องมันได้(เราจับได้แต่ภาชนะที่บรรจุมันไว้) แต่มีค่ามหาศาลต่อชีวิตคนในปัจจุบัน

secondlifeเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่มีประชากรจำนวน9ล้านคนในvitual worldแห่งนี้ และสกุลเงินที่สามารถนำมาแลกเป็นเงินจริงๆได้เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับผู้เล่นรายย่อยๆทีต้องการหารายได้บนโลกไซเบอร์ นอกจากนี้พื้นที่ในsecondlifeกลายเป็นสมรภูมิรบของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆที่ลงป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆในโลกเสมือนจริง รวมถึงการสร้างร้านค้าเพื่อขายของ และสร้างเมืองของบริษัทของตนขึ้นมาบนโลกเสมือนจริง(มหาวิทยาลัยต่างๆเปิดสอนในsecondlifeกันด้วย ซึ่งของไทยก็มีabacที่กำลังดำเนินการสร้างอยู่)

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นว่าโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่โลกเสมือนจริง ที่เราจับต้องสิ่งของกันน้อยลงแต่มีประสิทธิผลมากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Paypal ธุรกรรมทางการเงินยุคใหม่

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและอัตราการเติบโตของร้านค้าออนไลน์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่บรรดาเจ้าของร้านค้าทั้งแบรนด์ระดับโลกอย่างapple ebay adidas etc. และร้านE-commerceแบบเพียวๆ ต้องคิดก็คือทำอย่างไรให้คนกล้าที่จะซื้อของผ่านทางเว็บไซท์ของตน คนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าสั่งซื้อของผ่านทางอินเตอร์เน็ตเนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะได้ของรึเปล่า(คุณภาพสินค้าคงไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับแบรนด์ดังๆ หรือสินค้าที่คนอยากได้อยู่แล้ว) และค่าธรรมเนียมที่แพงในการใช้บัตรเครดิตและโอนเงินข้ามประเทศเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร้านค้าออนไลน์ไม่โตเท่าที่ควร แต่เมื่อมีบริษัทหนึ่งเปิดให้บริการการโอนเงิน ชำระผ่านอินเตอร์ที่ปลอดภัยและราคาถูก(สมัครฟรี และเสียค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าธนาคารและบัตรเครดิต) ทำให้ร้านค้าออนไลน์ในประเทศที่เจริญแล้วสามารถเติบโตได้หลายสิบเท่าตัว
ผมคิดว่าธุรกิจในไทยน่าจะมาใช้บริการนี้กันนะครับ เป็นอีกช่องทางสำหรับลูกค้าที่จะจ่ายเงินให้แก่เรา(ในทางกลับกันคือช่องทางเราจะได้เงิน) บริการนี้เป็นของPaypalครับ

อะไรคือPaypal? Paypal คือบริการเพื่อการโอนเงิน ชำระเงิน สำหรับธุรกรรมE-commerce ระหว่างผู้ค้าขาย หรือบุคคลธรรมดาที่ต้องการโอนเงินให้กัน
จุดเด่นของpaypal
1.อยู่ที่การคิดค่าบริการที่ต่ำกว่าบัตรเครดิตหรือธนาคารทั่วไป และสมัครใช้บริการฟรีครับ(ยุคแรกๆมีการแจกเงินให้ผู้สมัครด้วย)
2.คนขายที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถใช้ได้ไม่ยุ่งยากเหมือนกับการรับบัตรเครดิตซึ่งต้องไปสมัครกับสถาบันการเงินก่อน
3.เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย ตอนนี้มีผู้ใช้บัญชีPaypalมากกว่า150ล้านคนแล้ว และธุรกรรมการเงินในebayมากกว่า60%ใช้บริการของPaypal(จนebayตัดสินใจเข้าซื้อpaypalในราคา1.5พันล้านUSD หรือเกือบ6หมื่นล้านบาท) และบริษัทต่างๆที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตเพิ่มบริการชำระเงินผ่านPaypalกันเกือบหมดแล้ว(รายใหญ่ๆใช้กันหมดแล้วครับ)

การสมัคร Paypal จำเป็นต้องมีเครดิตการ์ด หรือบัตรเว็บการ์ด ในการยืนยันบัญชี ถ้ายังไม่มีอ่านได้ที่นี่ครับวิธีการสมัครเว็บการ์ดครับ
ถ้ามีแล้วก็คลิกที่รูปนี้ได้เลยครับ
Sign up for PayPal and start accepting credit card payments instantly..
เข้าสู่เว็บไซต์แล้ว คลิกที่ Sign Up เพื่อสมัครสมาชิก ก็จะมีให้เลือกสมัครสมาชิกแบบต่างๆ
มี Personal สำหรับซื้อของ online แต่ไม่สามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิตได้ ไม่แนะนำครับ เพราะไม่สะดวก
แล้วก็จะมี แบบ Premier และแบบ Business แบบ Business จะอยู่ในรูปแบบบริษัท
แนะนำให้สมัคร แบบ Premier เพราะจะสามารถรับเงินได้ไม่จำกัด และสามารถใช้ใน การซื้อขายสินค้า ที่ eBay ได้ และสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้อย่างสะดวก(สมัครฟรีครับ เพราะฉะนั้นเลือกPremierไปเลย)

เลือกประเทศ Thailand แล้วไปขั้นตอนต่อไป
กรอกชื่อที่อยู่ e-mail แล้วตั้ง Password รหัสกันลืม เหมือนๆกับการสมัคร ทั่วๆไป
อย่าลืมกรอกเป็นภาษาอังกฤษนะครับ
แล้วก็จะมีให้อ่านเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย และข้อตกลงต่างๆ ก็ให้ตอบ Yes ทั้งสองข้อครับ
แล้วก็ให้ใส่ อักษรสุ่มที่แสดงให้เห็นในช่องว่าง
จากนั้นระบบจะให้ add บัตรเครดิต ท่านใดมีบัตรเว็บการ์ด
ก็กรอกข้อมูล card type แบบ VISA นะครับ
ใส่หมายเลข บัตร ใส่วันหมดอายุ และรหัส 3 ตัวของเครดิตการ์ดของเรา
ระบบก็จะแจ้งว่าคุณได้ทำการ add บัตรเรียบร้อยแล้ว แต่ยังเหลือขั้นตอนในการ ตรวจสอบว่า
บัตรนั้นเป็นของคุณจริงหรือป่าว โดยจะให้คลิก Get Number แต่ก่อนอื่น
เรา cancel ขั้นตอนนี้ไปก่อนก็ได้ถ้ายังไม่มีบัตรทั้งสองอย่าง(ไปสมัครแล้วค่อยกลับมากรอกได้ในภายหลังครับ วิธีการสมัครเว็บการ์ดครับ)
ให้เราเข้าไปเช็ค e-mail ของเราก่อน เพื่อคลิกยืนยันการสมัคร Paypal ให้เสร็จก่อน
ก็จะมีลิ้งค์ Activate account ให้คลิก เมื่อคลิกแล้ว ระบบก็จะให้ใส่ password ที่ตั้งขึ้นตอนสมัคร
แล้วกดยืนยัน พอยืนยันแล้วก็กด continue
ก็จะไปที่หน้า บัญชี Paypal
โดยในบัญชี จะยังบอกว่าเราเป็น Unverified
ก็ให้เราคลิก Status:Thai-Unverified เพื่อยืนยันบัตรเครดิต
การยืนยันบัตรเครดิต ระบบจะหักเงินจากบัตร $1.95 หรือประมาณไม่เกิน 70 บาทครับ
(และระบบจะคืนเงิน $1.95 ให้ เมื่อเราทำการสั่งจ่ายเงินออกจาก Paypal ครั้งแรก สรุปว่าเราไม่เสียค่าสมัครใดๆเลย)
คลิก Get number แล้วก็ Continue
ก็เป็นอันเสร็จ เราก็รอดูรายการการใช้บัตรเครดิต ที่จะรายงานสรุปยอด
สำหรับบัตรเว็บการ์ด ก็ให้รอประมาณ 2 วัน เมื่อ login เข้า เว็บ kasikornbank เพื่อดูยอดบัญชี บัตรเว็บการ์ด(kbankจะส่งอีเมลมาแจ้งครับ บริการดีจริงๆ แล้วหลังจากนั้นอีก3วันถึงจะหักเงินออกจากบัญชี)
แล้วดูในส่วนการใช้บัตร จะมีแจ้ง เลข 4 ตัว ****PAYPAL ตามด้วย paypal
เป็นการแจ้งว่า เราได้ใช้จ่าย รายการนี้ โดยมีรหัส 4 ตัว
เราก็นำเลข 4 ตัวนี้แหละครับ ในการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของบัตรจริงๆ ไม่ได้นำบัตรใครมาแอบอ้าง
...ก็ให้เรา login เข้า Paypal ดูที่เมนูด้านซ้าย คลิกเข้าไปที่Status:Thai-Unverified
เพื่อเข้าไปกรอกยืนยัน แล้ว Submit สถานะของบัญชีเราก็จะเป็น Verified
เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ในการสมัคร

ต่อมาคือขั้นตอนในการใช้งาน

สำหรับจ่ายเงิน ไม่ต้องเติมเงินในบัญชีPaypalครับ Paypalจะหักเงินจากcredit cardหรือเweb cardของเราเอง สะดวกดี

สำหรับรับเงิน ไม่ยุ่งยากเช่นกันแค่กรอกข้อมูลบัญชีไว้ก่อนดังนี้ครับ
ก่อนอื่น เราต้องทำการเชื่อมกับธนาคารในประเทศไทยก่อน
ธนาคารไหนก็ได้นะครับให้เรา login paypal แล้วไปที่ Profile
แล้วไปที่ Financial Information แล้วคลิกที่ Bank Accounts
แล้วเราก็เลือก Thailand แล้วกด Continue ก็จะมีให้เลือกธนาคารของเราที่ประเทศไทย
แล้วกรอกเลขที่บัญชีธนาคาร ชื่อบัญชีธนาคาร จะต้องเหมือนกับที่ใช้เปิด paypal นะครับ ก็คือ บัญชีธนาคารจะต้องเปิดชื่อเรานั่นเอง
พอเรากรอกข้อมูลแล้ว ก็ กด Continue
แล้วก็กด Add Bank Account ได้เลย
(ถ้า Bank account ไม่ตรงกัน หมายถึงชื่อนามสกุลไม่ตรงกัน จะ add ไม่ได้ และจะเสียค่าธรรมเนียม 15 บาทนะครับ)

สำหรับเวลาจะ ถอนเงินจาก Paypal ก็มาที่ เมนู Withdraw
แล้วคลิกที่ Transfer Funds to your bank account
ใช้เวลาไม่เกิน 5วันเงินก็จะเข้าบัญชีครับ ถ้าเงินโอนต่ำกว่า 5000 บาท จะเสียค่าธรรมเนียม 50 บาทครับ
ถ้าตั้งแต่ 5000บาทขึ้นไป ไม่มีค่าธรรมเนียมครับ(ส่วนใหญ่ถ้าทำธุรกิจน่าจะเกินอยู่แล้วล่ะ)

ปล.บัตรเครดิตไม่สามารถใช้รับเงินได้ และในทางกลับกัน Paypal ก็ไม่สามารถ ดึงเงินจาก บัญชีธนาคาร ของเราได้ สรุปก็คือใช้บัตรเครดิตในการจ่าย ใช้ธนาคารในการรับเงิน
ปล.2 ใช้เว็บการ์ดปลอดภัยกว่าบัตรเครดิตครับเพราะทางkbankจะแจ้งให้ทราบว่ามีการใช้บัตรเว็บการ์ดซื้อสินค้า ถ้าคุณไม่ต้องการซื้อหรือไม่ใช่คนซื้อก็สามารถทักท้วงและสั่งยกเลิกได้ครับ อีกอย่างเว็บการ์ดไม่มีเป็นตัวบัตรจริงๆไม่ต้องกลัวคนมาขโมยไปใช้(นอกจากคุณจะบอกหมายเลขเว็บการ์ดและcvvให้ผู้อื่นทราบเอง แต่ก็นำไปใช้ได้แค่ธุรกรรมบนอินเตอร์เน็ตซึ่งทางkbankก็จะแจ้งกลับมาอีกนั่นแหละ)

หวังว่าสิ่งที่ผมแนะนำจะมีประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่านนะครับ ผมคิดว่าธุรกิจออนไลน์ในบ้านเรายังโตได้อีกเยอะเลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

ข้อคิดจากกระแสจตุคามรามเทพ

ความจริงผมอยากจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่อยากขัดต่อกระแสที่กำลังมาแรง ตอนนี้ฝุ่นควันที่ตลบอบอวลได้จางลงแล้ว คงได้ฤกษ์ในการเขียนซะที

ผมมองกระแสจตุคามฟีเวอร์ว่าเหมือนกับยุคตื่นทองในอเมริกา ที่ผู้คนยกพลกันไปขุดทองซึ่งมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องผิดหวัง มีเพียงกลุ่มแรกๆเท่านั้นแหละที่ประสบผลสำเร็จ
แน่นอนว่าผู้เล่นที่ลงสนามในการแย่งส่วนแบ่งในตลาดจตุคามย่อมมองเห็นกำไรมหาศาล แต่ในโลกทุนนิยมมันไม่ง่ายขนาดนั้น ที่ไหนมีกำไรที่นั่นย่อมมีคู่แข่ง และยิ่งเป็นธุรกิจที่ไม่มีกำแพงที่จะเป็นอุปสรรคให้ผู้เล่นหน้าใหม่เสียเปรียบ(ต้นทุนการผลิต สิทธิบัตร สัมปทาน) ยิ่งไปกันใหญ่เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่อยากร่วมวงสามารถเข้ามาได้โดยไม่มีขวากหนามใดๆมาขวางกั้น บางรายเข้ามาจับเสือมือเปล่าด้วย แสดงว่าไร้กำแพงอุปสรรค
พอมีคู่แข่งมากขึ้นการตั้งราคาก็ต้องต่ำลงด้วย ตามหลักของอุปสงค์-อุปทาน เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่จำนวนจตุคามมากกว่าจำนวนคนในประเทศ นั่นเท่ากับว่าโอกาสที่ผู้เล่นจะกอดคอกันแพ้มีสูงมาก นอกจากจะมีจุดเด่นที่คู่แข่งไม่มี แต่เนื่องจากตลาดจตุคามแทบจะไม่มีอะไรที่จะแสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างใดๆทั้งสิ้น(สังเกตุได้จากการถามคนที่หามาบูชายังไม่รู้เลยว่าจะดูได้ยังไงว่าองค์ไหนแท้หรือปลอม ผมจะบอกไว้ก่อนว่าที่ขายตามวัดยังมีของปลอมขายเลยครับ) นอกจากจะมีเซียนๆมาช่วยปั้นและปั่นให้ดัง(ราคาขายของผู้เล่นไม่ได้เพิ่มครับ จะเพิ่มในตลาดรองนั่นคือแผงพระ แต่จะได้ยอดจองเพิ่มขึ้น)

กลับมายุคตื่นทองดีกว่า ทราบรึเปล่าว่าใครที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดในยุคตื่นทอง???
คำตอบคือ "ลีวายส์"ครับ ผู้ที่มองเห็นโอกาสที่ซ่อนเร้นอยู่คือผู้ชนะที่แท้จริง ในยุคตื่นทองผู้คนต่างตาบอดวิ่งเข้าหาแต่สิ่งที่ตนคิดว่ามีมูลค่ามหาศาล รุมยื้อแย่งกัน แต่ผู้ที่สามารถเปิดตา หยุดเดินแล้วปล่อยให้ผู้คนบรรดาฝูงชนที่บ้าคลั่งเข้าไปแย่งผลประโยชน์อันมีอยู่จำกัดกัน จะมีเวลาที่จะมองเหตุการณ์ และคิดหาขุมทรัพย์ใหม่ๆที่ไม่ต้องไปแย่งกับใคร จนสามารถใช้ประโยชน์จากฝูงชนนั้นได้ แน่นอนว่าจากเหตุการณ์ตื่นทองผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จะมีพวกโรงแรม คนขายจอบ เป็นต้น
สำหรับจตุคามแน่นอนว่าคนที่ได้รับผลพลอยได้คือพวกผลิตกรอบพระ ช่างหล่อพระ โรงงานพิมพ์พระ ร้านทำป้าย โรงพิมพ์ หนังสือพิมพ์ที่ลงโฆษณา ห้างร้านต่างๆที่ให้คนเช่าที่ รวมไปถึงโรงแรม การท่องเที่ยวในจ.นครศรีธรรมราช และสายการบิน แต่ที่ได้มากที่สุดคือจังหวัดนครศรีธรรมราชครับ เพราะค่าเช่าในการทำพิธีที่ศาลหลักเมืองวันละ50,000 บาทและมีคนจองทุกวันครับ ส่วนวัดที่ผู้จัดสร้างจตุคามที่สร้างอะไรให้นั่นผมว่าไม่แน่ว่าจะได้รึเปล่า เพราะถ้าผู้จัดสร้างขาดทุนก็คงไม่มีเงินมาสร้างล่ะครับ

โอกาสหน้าจะมีอะไรมาเป็นกระแสให้ฝูงชนกระโจนเข้าใส่ก็ดูดีๆก่อนนะครับ บางทีโอกาสที่แฝงอยู่อาจจะมีมูลค่ามหาศาลนะครับ

ปล.กระแสจตุคามทำให้เทคโนโลยีในการทำพระเครื่องก้าวหน้าไปมากครับ
ปล.2 ที่ผมเปรียบเทียบกับยุคตื่นทองเพราะผมเห็นว่าทั้งสองสิ่งไม่ยั่งยืนเหมือนกันครับ ยิ่งมีคนมาแสวงหาผลประโยชน์เยอะทรัพยากรก็ยิ่งหมดเร็ว

wii

หลังจากปรากฎการณ์ที่ยอดขายเครื่องเล่นเกม wiiของnintendo สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง xbox360ของmicrosoftและ ps3ของsonyได้อย่างขาดลอย (สัดส่วนยอดขายในusa wii; xbox360; ps3 : 4;2;1)ยอดขายของwiiในตอนนี้เกือบๆ10ล้านเครื่อง เราจะมาดูเหตุผลกันดีกว่าว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องของภาพกราฟฟิกแน่นอนว่าwiiไม่มีทางเอาชนะxbox360กับps3ได้อย่างแน่นอน nintendoจึงเลือกที่จะเดินไปยังเส้นทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงกับการปะทะที่ตนเองเสียเปรียบ จึงสร้างเครื่องเกมรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องเน้นกราฟฟิกที่สวยงามตามความต้องการของบรรดานักเล่นเกม แต่เน้นที่ความง่ายในการเล่นและได้อรรถรสมากกว่า จึงสร้างcontrollerที่เรียกว่าwiimoteขึ้นมา แล้วเจ้าwiimoteนี่แหละครับที่เป็นพระเอกของnintendo เพราะมันสามารถทำให้เด็กและผู้ใหญ่ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของบริษัทเกมหันมาเล่นเกมได้ ลองเข้าไปดูคลิปดีกว่าครับ(ไม่รู้จะอธิบายยังไง)http://uk.wii.com/exp/ และจุดสำคัญที่ผมมองเห็นก็คือความสัมพันธ์ในครอบครัวครับ คนสูงอายุคงไม่สามารถเรียนรู้ที่จะในcontrollerแบบเก่าแน่นอน แต่wiimoteใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายในการเล่น(ได้ออกกำลังกายไปในตัว) ดังนั้นวัยรุ่นกับผู้ใหญ่จึงสามารถเล่นด้วยกันได้ง่ายขึ้น

ช่วงก่อนที่เครื่องwiiจะวางขาย nintendoได้มีการจัดปาร์ตี้เล็กให้แก่บรรดาครอบครัวต่างๆได้ลองเล่น ลองนึกภาพ(หรือเปิดคลิปดู)ว่าถ้าคุณปู่คุณย่าเล่นแล้วหัวเราะชอบใจ และพูดว่า"ฉันก็เล่นได้นี่" นั่นแหละคือความสำเร็จของwii(ผมเดาเอาว่า"wii"น่าจะมาจากคำว่า"we"ที่แปลว่าพวกเรา) หลังจากนั้นคลิปต่างๆเริ่มถูกปล่อยตามเวบฝากคลิป แน่นอนว่าต้องได้รับความสนใจอย่างสูง แต่ยังมีกลุ่มคอเกมหน้าเดิมๆที่บอกว่ากราฟฟิกของwiiห่วยแตกซื้อps3ดีกว่า(น้องผมก็เป็นหนึ่งในนั้น)แต่ps3ก็ล้มเหลวอยู่ดีเพราะราคาที่แพงกว่าwiiมากจนบรรดาคอเกมเล่นps2รอราคาps3ตก และคนที่เป็นคอเกมหน้าใหม่เลือกที่จะซื้อwiiที่ราคาถูกกว่า นั่นหมายความสาเหตุที่wiiชนะxbox360กับps3อาจจะเป็นเพราะความแปลกใหม่ของวิธีการเล่นและกลุ่มเป้าหมายฉีกออกไปจากกลุ่มเดิม(คนที่มีเครื่องเล่นเกมอยู่แล้ว) จึงไม่ชนกับเครื่องเกมเดิมของตนอย่างที่sonyและmicrosoftต้องเผชิญ (นอกเรื่องนิดนึง; ใกล้ๆตัวคนไทย ดูเบอร์ดี้แถบเขียวที่จะมาแย่งแชร์ของแถบแดง) นอกจากนี้wiiยังมีขนาดตัวเครื่องที่เล็กกว่าคู่แข่งทั้ง2รายมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางsonyและmicrosoftไม่ได้คำนึงถึงเป็นคิดว่ายังไงก็ต้องใช้เล่นในบ้านอยู่แล้ว

ปัจจุบันมูลค่าแบรนด์ของnintendoจากการจัดอันดับของbusiness weekอยู่อันดับที่44ของโลก มูลค่าแบรนด์ 7,730ล้านเหรียญเพิ่มขึ้นปีที่แล้วที่ 6,559ล้านเหรียญถึง18%
หวังว่าwiiจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างสินค้าใหม่ในตลาดนะครับ

วันจันทร์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สภาพคล่องทางการเงิน

ช่วงนี้ผมต้องการใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนทำอะไรบางอย่าง เนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ชอบเก็บเงินสดไว้ในแบงค์ทำให้ผมลำบากมากๆในการหาเงิน แต่ผมโชคดีที่หุ้นจัดว่าเป็นทรัพย์สินที่เปลี่ยนรูปมาเป็นเงินได้ง่ายมาก เพราะถ้าขายวันนี้อีก3วันทำการ(T+3)ระบบATSก็จะจัดการเอาเงินเข้าบัญชีธนาคารให้ ทำให้ผมสามารถบริหารเงินได้อย่างไม่ติดขัดนัก ส่วนที่ดินที่ผมมีขนาดตกลงดำเนินการอย่างราบรื่นยังใช้เวลานานมากๆตอนนี้ผ่านไปเกือบๆ2อาทิตย์ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่เลย ส่วนสุดยอดทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงมากที่สุดคือทองคำครับ ขายปุ๊บได้เงินปั๊บแต่เก็บไว้กับตัวก็เป็นอันตรายเหมือนกัน(ผมไม่เคยซื้อทองครับ ไม่ค่อยชอบเก็บของมีค่าไว้กับตัว ถ้าไปซื้อในกองทุนทองคำค่อยน่าสนหน่อย) ส่วนเหตุผลที่ผมไม่ชอบเก็บเป็นเงินสดเพราะกลัวเอาไปใช้หมด และไม่อยากเสียโอกาสที่จะทำให้เงินงอกเงยครับ(ข้อนี้สำคัญกว่า)

ปล.ช่วงนี้ไม่ได้มาเขียนบล็อกเลย ไว้จะพยายามหาเวลาว่างมาเขียนบ่อยๆนะครับ

วันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

ปริมาณกับคุณภาพ

เมื่อวานตอนเย็นผมได้คุยกับเด็กม.3คนนึง เด็กคนนั้นบ่นว่ามีรายงานที่อาจารย์พึ่งสั่งและให้ส่งวันจันทร์ ที่สำคัญต้องทำอย่างต่ำ100หน้า ในมุมมองของผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้เด็กมาทำรายงานในลักษณะแบบนี้เพราะไม่ได้เป็นการดึงศักยภาพใดๆในตัวเด็กออกมาเลย ท่านที่เป็นอาจารย์น่าจะทราบดีว่าทุกๆครั้งเด็กมักจะลอกมาส่ง ท่านจึงให้ใช้มือเขียนเพื่อหลีกเลี่ยงการcopy&paste โดยที่ท่านก็รู้อยู่ดีว่าการใช้มือเขียนนั้นก็ยังคงไปลอกมาอยู่ดี อาจจะดีตรงที่เหมือนกับเด็กได้อ่านทบทวนไปในตัวผมคิดว่าตรงนี้ถือว่าเหมาะสมแต่การที่ให้ทำในปริมาณที่มากเกินควรไม่ได้ช่วยอะไรเด็กเลย กลับเป็นการทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่ายทำๆไปให้เสร็จ สรุปว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยรายงานปึกใหญ่ๆนั้นก็ไร้คุณค่าทางวิชาการและจิตวิญญาณ

สมัยที่ผมเรียนม.5เทอมหนึ่ง มีวิชาที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจหลายๆวิชาซึ่งผมชอบมากๆ เพราะไม่ได้เป็นการบังคับให้ต้องอ่านหรือทำรายงานอะไรที่เป็นเนื้อหาตายตัว มีอยู่วิชานึง อ.ชัชวาลย์ ธันวารชรเป็นผู้สอน การเรียนก็สบายๆ จนมาถึงช่วงสิ้นเทอมก็มีรายงานให้ทำ โดยให้เขียนเกี่ยวกับอาชีพในฝัน ด้วยความประมาทผมได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังคงคิดว่าจะเขียนอะไรดีเพราะโจทย์นี้ค่อนข้างอิสระมากๆ เห็นเพื่อนๆหลายคนก็เข้าสมุดไปยืมหนังสือเกี่ยวทนายความบ้างหรืออาชีพต่างๆที่อยากเป็น ส่วนตัวผมอยากเป็นนักธุรกิจแต่จะทำอะไรดีล่ะ?
จนกระทั่งวันสุดท้ายผมคิดได้ว่าเอาร้านกาแฟเนี่ยแหละน่าจะดี คืนนั้นผมเอากระดาษเปล่ามานั่งคำนวณปริมาณลูกค้าที่น่าจะเข้ามาในร้านกาแฟและราคาขายเพื่อหารายได้เฉลี่ย แล้วผมก็โทรศัพท์ไปหาคุณพ่อเพื่อสอบถามค่าเช่าที่ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งคุณพ่อก็บอกมาอย่างละเอียด(บอกเป็นตารางเมตร) พอผมได้ทราบค่าเช่าผมก็มาคำนวณดูว่าคุ้มรึเปล่าซึงผลออกมาคุ้มมากๆ ผมจึงลงมือเขียนทันที ในระหว่างที่เขียนผมก็ได้ใส่ความคิดของผมลงไปอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ได้กางหนังสือเล่มใดๆออกมาดูเลย ผมออกแบบLogo(องค์ประกอบต่างในLogoมีความหมายหมดเลย) ชื่อร้าน(smile coffee ประเทศไทยเป็นเมืองยิ้มครับ)วางLocationและประมาณการทางตัวเลขทุกอย่างเท่าที่เด็กม.5พอจะนึกออก รายงานนั้นบางมากๆมีแค่12-14หน้ารวมปกหน้า-หลังอีกต่างหาก และแต่ละหน้าไม่ได้เขียนเต็มแผ่น เขียนแค่หน้าละครึ่งเท่านั้น! แต่ผมคิดว่ารายงานนั้นเป็นรายงานที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย มีเพื่อนบางคนมาบอกผมว่าทำแบบนี้ไม่ได้คะแนนหรอก แต่ผลออกมาผมได้เกรด4ในวิชานั้น(รายงานมีคะแนนประมาณ70%ของคะแนนเก็บมั้งถ้าผมจำไม่ผิด) คนที่เนื้อหาทางวิชาการแน่นๆ(เอามาจากหนังสือ)จะได้เกรด3กัน

ผมคิดว่าปริมาณไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพหรอกครับ จะดีกว่าถ้าหากเป็นจากสั่งรายงาน100หน้าไปเป็นแสดงความคิดเห็นหนึ่งหน้ากระดาษA4 อย่างน้อยเราก็จะได้ช่วยกันพัฒนาความคิดของเด็กและสร้างบุคลากรของชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารออกมาทำงาน ผมอยากให้ประเทศเรามีการสร้างสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาด ไม่ใช่ก็อปของต่างชาติมาขาย ความจริงคนไทยมีความสามารถแต่ถูกปิดกั้นทางความคิด ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าที่จะออกนอกกรอบ เพราะถูกสอนมาว่าในหนังสือนั่นแหละถูกต้องและทำในปริมาณเยอะๆยิ่งดี ซึ่งตรงนี้ก็กลายเป็นปัญหาอีก เพราะการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กทำให้หลายๆคนชอบทำOT ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับการทำOT ทำไมไม่ทำงานให้เสร็จสิ้นในเวลาล่ะ อยากทำเพิ่มก็ควรทำในเวลา แล้ววัดไว้จริงหรือว่าคนทำOTขยันกว่าคนที่กลับบ้านเร็ว ในเวลาทำงานพวกทำOTอาจจะไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่100% แถมเปลืองไฟด้วย ผมอยากให้บริษัทต่างกลับไปทบทวนดูว่าคุณเสียค่าไฟไปเท่าไหร่กับคนทำOT ถ้าเขาหลายนั้นสามารถทำงานทั้งหมดได้ในเวลาจะดีกว่ามั้ย? ปริมาณเวลาที่ทำงานวัดคุณภาพของงานได้หรือ? แถมเรื่องนี้ยังกระทบต่อสถาบันครอบครัวด้วย เพราะคุณกลับบ้านไปลูกก็คงหลับไปแล้ว พอลูกคุณโตขึ้นเขาก็จะทำแบบเดียวกับคุณ โดยมีเหตุผลที่ว่าทำOTเพื่อลูก

นอกเรื่องมาพอสมควรเอาเป็นว่าผมอยากให้การบ้านต่างๆของเด็กเน้นไปที่การพัฒนาความคิดมากกว่าที่จะให้เด็กไปลอกมาส่งครับ กระดาษแผ่นเดียวที่มาจากความคิดของเด็กคนนั้นๆมีค่ามากกว่ารายงาน100หน้าที่ไปลอกมาครับ

วันเสาร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

คนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้น

"คนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้น" ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ เพราะคนที่รู้ว่าผมเล่นหุ้นจะนึกว่าผมรวย แต่จริงๆแล้วผมไม่มีเงินมากมายหรอก ที่ซื้อหุ้นเพราะอยากเริ่มสร้างอนาคตและปูทางสู่อิสรภาพทางการเงิน

ช่วงหัวค่ำของวันที่15กพ.50 ขณะที่ครอบครัวของผมนั่งทานอาหารอีสานกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีพ่อค้าขายฉลากกินแบ่งรัฐบาลเข้ามาขายที่โต๊ะของผม พ่อผมก็มองหาเลขที่ต้องการ แม่ก็พูดขึ้นมาว่า"เก็บเงินให้กานต์(ชื่อเล่นผม)เอาไปซื้อหุ้นดีกว่า" ผมก็ยิ้มๆแล้วมองไปที่คนขายแต่ไม่ได้คิดอะไรนะครับ เมื่อพ่อผมซื้อเสร็จผมจึงถามว่า"ซื้อไปเท่าไหร่" พ่อตอบว่า"95บาท" ผมเลยพูดกับพ่อ,แม่และน้องชายว่า"งั้นสมมติว่าเราเอาเงิน95บาทนี้ไปซื้อหุ้น หุ้นอะไรดี? เอาเป็นปตท.สผ(pttep)แล้วกัน ไม่รู้ว่าราคาวันนี้เท่าไหร่นะ เอาเป็นว่าซื้อที่95บาทจำนวน1หุ้นแล้วกัน แล้วมาดูผลกัน"

อย่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ในเรื่องของความเสี่ยงที่ผมเปรียบเทียบหุ้นกับการพนัน คราวนี้เราลองมาคิดดูดีกว่าว่าหุ้นกับฉลากกินแบ่งรัฐบาลอะไรจะดีกว่ากัน
ราคา95บาทเท่ากัน ถ้าขาดทุนหมดตัวก็หมดที่95บาทเท่ากัน แต่หุ้นสามารถนำไปขายตัดขาดทุนได้นะครับ แต่ฉลากกินแบ่งฯจะขายตัดขาดทุนได้อย่างไร ถ้าไม่ถูกรางวัลใครจะมาซื้อต่อล่ะ
เวลาในการที่เราจะได้ลุ้นถึงแค่วันที่1มีนาคม50สำหรับฉลากกินแบ่ง แถมยังไม่สามารถขายต่อได้(ซื้อแล้วซื้อเลย)ถ้าไม่ถูกรางวัลมูลค่าของฉลากใบนั้นจะกลายเป็นศูนย์ แต่ถ้าถูกรางวัลใหญ่ๆก็รวยได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหุ้นซื้อวันนี้ขายวันนี้ก็ได้ เวลาให้การลุ้นให้หุ้นขึ้นมีตลอดชีวิต(ของบริษัท)แถมมีเงินปันผลให้อีกทุกๆปี เก็บเป็นมรดกได้ด้วยนะเนี่ย

เราตีความหมายของการซื้อหุ้นและฉลากกินแบ่งฯกันดีกว่า
การที่เราซื้อหุ้นปตท.สผ.เป็นการที่เรานำเงิน95บาทไปแลกสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)จำนวน1หุ้น มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินปันผลและออกเสียงโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ส่วนการซื้อฉลากกินแบ่งฯ เป็นการที่เรานำเงินไปซื้อสิทธิ์ในการลุ้นรางวัลในงวดนั้นๆ
ส่วนโอกาสที่จะโชคดีถูกรางวัลนั้นคงไม่ต้องพูกถึงนะครับ คงทราบกันดีว่ายากมากๆ แค่เลขท้าย2ตัว(โอกาสถูกง่ายที่สุด)ยังมีแค่1%
(บางคนอาจจะบอกว่าตั้ง1%ก็ไม่ผิด)

เอาเป็นว่ารอดูแล้วกันว่าระหว่างฉลากของพ่อกับหุ้นpttepใครจะชนะ(แต่ขอให้ฉลากใบนั้นชนะแล้วถูกรางวัลที่1แล้วกัน^_^)

ส่วนคนจนเล่นหวย-คนรวยเล่นหุ้นผมขอเปลี่ยนเป็นเล่นหวยแล้วเป็นคนจน เล่นหุ้นแล้ว(อาจจะ)เป็นคนรวย

ปล.พ่อผมซื้อเลขอะไรหว่า?

วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

Festival Marketing

Festival Marketing หรือการตลาดเทศกาล(ผมไม่รู้ว่าเค้ามีชื่อเรียกเฉพาะรึเปล่า อันนี้ผมมั่วขึ้นมาเอง)
การตลาดในรูปแบบนี้เราเห็นกันได้บ่อยๆ ในทุกๆเทศกาลโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีเทศกาลสำคัญๆเยอะมากๆ เพราะคนไทยเปิดรับหมดทุกวัฒนธรรม แต่ผมคิดได้อย่างนึงว่าวันสำคัญต่างๆที่รับมาจากต่างชาติที่ทุกคนคิดว่ามันสำคัญ มันสำคัญจริงๆหรือ หรือว่าเรากำลังถูกปลูกฝังให้คิดแบบนั้น ซึ่งผมมองว่ามันเป็นอย่างหลังมากกว่า ลองดูวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะถึงนี้นะครับ ร้านส่งดอกไม้ชื่อดัง ร้านขายดอกไม้ต่างๆโดยเฉพาะดอกกุหลาบจะขายดีมากๆ ทั้งยังสามารถโก่งราคาได้อีกต่างหาก(ประมาณว่าถ้ามึงไม่ซื้อก็เตรียมเลิกกับแฟนไปได้เลย) แล้วยังมีร้านช็อกโกแลตที่สามารถขายได้ดีมากๆเช่นกันในเทศกาลนี้ ส่วนราคาผมคิดว่าไม่น่าจะขึ้นนะครับเพราะเป็นFixed Costซะส่วนใหญ่ นอกจากจะออกเวอร์ชั่นพิเศษเป็นกล่องของขวัญสำหรับเทศกาลวาเลนไทน์ รวมไปถึงนาฬิกายี่ห้อหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าในหนึ่งปีมันผลิตมาได้หลายเวอร์ชั่นมากๆ ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้คงซื้อตามไม่ทัน ตามห้างสรรพสินค้าจะตกแต่งด้วยสีแดง,รูปหัวใจ,ดอกกุหลาบ,คิวปิด,ฯลฯ

สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือเรากำลังตกเป็นทาสของกระแสทางสังคม(ปลอมๆ)ที่ถูกนักการตลาดสร้างขึ้นมา แล้วเราดันเชื่อว่ามันเป็นจริง ผมขอถามว่าคุณจะเลิกกับแฟนของคุณรึเปล่าถ้าเขาไม่ให้ดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์? คุณจะตายหรือไม่ถ้าไม่มีแฟนในวันวาเลนไทน์? คุณจะขอแค่ได้รับความรักจากวันนี้วันเดียวหรือ? สิ่งต่างๆเหล่านี้เปรียบเทียบได้กับวันพ่อวันแม่ หลายๆคนให้ความสำคัญกับคนที่ตัวเองรักเพียงแค่1วันใน365วัน
ยังมีคนหลายๆคนพยายามหาแฟนให้ได้ก่อนวันวาเลนไทน์โดยเฉพาะสาวๆ(อันนี้เรื่องจริงที่ผมได้รับรู้มาจากเจ้าตัวหลายๆคน) ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องของการโอ้อวดหรือกลัวขายหน้ามากกว่า(ทีก่อนหน้านี้ยังโสดมาได้)เพราะใครๆก็ต้องรับของขวัญ อันนี้แหละคือจุดอ่อนที่ทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่จนเกิดกระแสขึ้นมา แล้วนักการตลาดจะอาศัยอารมณ์อันอ่อนไหวมาเป็นเครื่องมือหากิน

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้แอนตี้นะครับ การแสดงความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่กรุณาหาของขวัญที่ไม่เดือดร้อนตนเองนัก(ไม่ต้องกลัวแฟนงอน ถ้ามันงอนเรื่องแค่นี้ก็....*_* ) ส่วนคนที่เป็นฝ่ายรับก็อย่าคาดหวังอะไรที่มันเว่อร์มากนัก แค่รักกันก็พอแล้วครับ

ปล.ทำไมไม่เคยมีแฟนในวันวาเลนไทน์วะ อยากรู้ว่าจะหลงไปกับกระแสนี้ด้วยรึเปล่า แต่ช่างเหอะอยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว สบายใจดี^_^
บล็อกนี้มันล่อเป้าให้โดนด่ารึเปล่าเนี่ย?

วันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

พื้นที่สีเขียว

วันนี้ผมรู้สึกสดชื่นมากที่ได้เดินสูดอากาศบริสุทธิ์ใจกลางเมืองหลวง(ของประเทศไทย)
คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ กรุงเทพมหานครเนี่ยแหละ
สถานที่ที่ผมเอ่ยถึงคือสวนลุมพินีครับ
ผมเดินเล่นนั่งเล่นในสวนลุมนานหลายชั่วโมงทีเดียวและรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้เห็นผู้คนมาออกกำลังกายกัน พาลูกๆมาขี่จักรยานเล่น พายเรือ นอนอ่านหนังสือ และปิกนิก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้สังเกตุเห็นคือมีชาวต่างชาติเยอะมากๆครับ สัดส่วนน่าจะประมาณ25-30% เท่าที่ผมลองหาสาเหตุในใจดูว่าทำไมชาวต่างชาติถึงชอบมาเที่ยวสวนสาธารณะกัน ผมก็พบว่าวิถีชีวิตของเรากับเค้า(ชาวต่างชาติ)ต่างกันมากครับ เพราะกิจกรรมวันหยุดสำหรับหลายๆชาติในโลกนี้คือการหาสิ่งบันเทิงกับครอบครัวครับ อย่างในอเมริกาพอถึงวันหยุดพวกเขาจะไปดูเบสบอลหรืออเมริกันฟุตบอลกัน ซึ่งคนอเมริกาชอบกีฬาที่แข่งขันกันนานๆมาก อย่างทางยุโรปก็นิยมไปดูฟุตบอลกัน คนดูเกือบเต็มสนามทุกสัปดาห์(ทำไมสนามกีฬาแถวๆนี้มันร้างๆหว่า ยกเว้นกรณีที่มีหงส์กับผีแข่ง)
บางครอบครัวก็จะไปตกปลาตามบึงต่างๆแล้วก็ปิกนิกกัน และตามเมืองต่างๆทั่วโลกนะครับจะมีการห้ามไม่ให้ซื้อที่ดินในส่วนที่เป็นป่าในเมืองเพื่อเก็บไว้เป็นสวนสาธารณะกลางเมือง

เอาล่ะมาพูดถึงฟากของคนไทยบ้าง กิจกรรมยอดฮิตคือนัดเพื่อนไปช็อปปิ้ง ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ กินข้าว เดินเล่น ฟิตเนส กิจกรรมทั้งหมดนี้นิยมทำกันในศูนย์การค้า มีบ้างบางครอบครัวที่น่ารักๆจะนิยมไปกันเป็นครอบครัว นอกเหนือจากกิจกรรมเหล่านี้ก็จะมีไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน แต่กิจกรรมต่างๆนี้ค่าใช้จ่ายสูงนะครับ ถ้าเทียบกับการทำอาหารไปจากบ้านแล้วไปนั่งปิกนิกกันตามสวนสาธารณะ

ผมอยากเห็นคนไปใช้บริการสวนสาธารณะกันเยอะๆครับ ท่านที่เป็นนักธุรกิจก็สามารถพกโน้ตบุ๊คไปนั่งทำงานขณะที่พาภรรยาและลูกๆไปทำกิจกรรมในครอบครัวพร้อมๆกันได้(กิจกรรมในครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆนะครับโดยเฉพาะต่อพัฒนาการเด็กๆ) ไปออกกำลังกายบ้าง สูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อร่างกายของเราบ้างก็ดี ที่สำคัญอากาศบริสุทธิ์เป็นของดีและเราบริโภคมันได้ฟรีๆครับ และพอต่อไปสวนสาธารณะมีไม่พอ พื้นที่สีเขียวของคนเมืองกรุงอาจจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้นะครับ อย่าเอาแต่สนับสนุนพื้นที่สีเทากันเลยครับ

วันศุกร์ที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

การหาที่นั่งบนรถเมล์

ผมขอยอมรับตรงๆเลยว่าเคยอยู่กทม.มา10ปีเคยนั่งรถเมล์ไม่ถึง10ครั้ง พอกลับไปอยู่ภูเก็ตก็อาศัยรถแม่ แล้วพ่อก็เมตตาให้รถมาขับ
ช่วงนี้ผมใช้รถเมล์บ่อยมากๆครับ และกำลังรู้สึกสนุกมากกับการขึ้นรถเมล์เพราะทำให้ผมได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่ผมไม่เคยมาสัมผัส ซึ่งมีผลดีต่อผมในฐานะนักลงทุนคนนึงที่จะได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆบ้าง

เอาล่ะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า โดยหลักทางกายภาพของมนุษย์ทุกคนย่อมต้องการความสบายและเมื่อต้องขึ้นรถเมล์ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทุกคนจะทำคือหาที่นั่ง ซึ่งที่นั่งมีจำนวนจำกัด(จากที่ผมมองคร่าวๆวันนี้น่าจะประมาณ28ที่นั่ง ในไทยรถแต่ละคันมีการวางที่นั่งไม่เหมือนกันอีก*_* ) ถ้ามีคนขึ้นไม่เยอะก็ไม่เป็นไรยังไงก็ได้นั่ง แต่ถ้าจำนวนผู้โดยสารมีมากกว่าจำนวนที่นั่งล่ะ แน่นอนว่าdemandมากกว่าsupplyแล้ว(เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวครับ) ดังนั้นคนที่อยากนั่งจะต้องหาstrategyให้ได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้นั่งแล้วยังต้องใช้หลักความน่าจะเป็น(probability)มาประกอบด้วย คุณลองนึกภาพดูว่าคุณทำอะไรบ้างตั้งแต่คุณอยู่ที่ป้ายรถจนกระทั่งขึ้นรถ
ส่วนตัวของผมนะผมจะพยายามเตรียมเงินให้พร้อมก่อนขึ้นรถ(เท่าที่จำได้เป็นนิสัยส่วนตัวตั้งแต่ขึ้นครั้งแรกๆแล้ว(culture)) การเตรียมพร้อมจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะแย่งเก้าอี้ครับ(market share)
มาดูที่กลยุทธแรกดีกว่า ผมสังเกตุเห็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้กัน Marking Strategy คือการประกบ1-1ครับ โดยถ้าจะให้ดีต้องเล็ง(focus)ไปยังบุคคล(target)ที่คุณคิดว่าเค้าน่าจะลงในอีกไม่กี่ป้ายข้างหน้า วิธีสังเกตุง่ายๆครับดูที่uniform ดูว่าทำงานที่บริษัทไหน อยู่โรงเรียนไหน มหาลัยไหน นั่นแหละจะทำให้คุณทราบจุดหมายปลายทางของเป้าหมายต่างๆแล้วเลือกmarkทันที(ข้อยกเว้นคือใช้ได้ในช่วงเช้านะครับ) ส่วนช่วงเย็นๆโปรดประกบนักเรียนและคนชราที่ไปจ่ายกับข้าวมาครับ โดยส่วนมากกลุ่มเป้าหมายนี้จะเดินทางในละแวกใกล้ๆบ้านของตน แต่Marking Strategyมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงมากๆ เคยโดนมาแล้วครับ
คือปกติแล้วผมจะเลือกใช้กลยุทธถัดไปแต่บังเอิญว่าเย็นวันนั้นรถแน่นมากๆ(แถมรถติดโคตรๆ)นึกดูว่าผมก้าวขึ้นรถไปแล้วไม่ต้องเดินไปไหนต่อเลยครับ แล้วด้วยสัญชาตญาณดันไปเห็นเด็กนักเรียน(หญิง)นั่งอยู่ ผมพยายามแทรกเข้าไปประกบติดทันที(อย่าคิดลึกนะแค่เด็กประถม) โดยกะว่าบ้านของเธอคงจะอยู่ไม่ไกลจากรร. แต่ทราบมั้ยครับว่าผมต้องยืนตลอดเส้นทางบนถนนลาดพร้าวตอนเย็นๆที่รถติดโครตๆหนำซ้ำผมยังลงก่อนเธอซะอีก(ผมลงที่นวมินทร์ครับ) ดังนั้นกลยุทธนี้ถ้าจับเป้าหมายผิดคือจบครับ แต่เพิ่มความน่าจะเป็นจากการไปยืนประกบที่นั่งฝั่ง2คนได้ครับ

มาดูสุดยอดstrategyที่ผมคิดว่ามีน้อยคนที่จะใช้ ไม่งั้นผมก็เป็นพวกโรคจิตอยู่ว่างไม่ได้ต้องหาอะไรมาคิดให้เปลืองสมอง
นี่คือZoning Strategy ถ้าหากคุณสามารถไปยืนคุมในตำแหน่งที่มีเก้าอี้3-5ตัวได้ล่ะโอกาสได้นั่งจะเพิ่มมากขึ้น งั้นผมจะใช้ประสบการณ์จริงๆเลย(ซึ่งผมจะใช้กลยุทธนี้ทุกครั้งยกเว้นกรณีข้างบนที่ผมควบคุมmacro economyไม่ได้) เอาของวันนี้เลยล่ะกัน

วันนี้ผมขึ้นรถตรงตลาดคลองเตยครับ เวลาประมาณ17.30 ผมกำเหรียญที่เตรียมไว้พอดีในมือ(organize)แล้ววิ่งขึ้นรถ ผมมองไปที่หน้ารถและท้ายรถ(looking for opportunity)แล้วประมวลผลทันทีว่าข้างหน้าคนยืนน้อยกว่า(ตำแหน่งที่เราจะไปยืนบนรถสำคัญที่สุดเลยครับ ถ้าคุณยืนตรงกลางความน่าจะเป็นที่จะได้นั่งต่ำมากกว่าส่วนหัวกับท้ายของรถเพราะคนที่ขึ้นรถมักจะเดินไปยืนตรงกลาง(จิตวิทยาซะงั้น)เท่ากับเราจะมีคู่แข่งเพิ่ม แล้วการไปอยู่ตรงส่วนกลางของรถจะเป็นแค่Marking Strategyเท่านั้น)ต่อๆ แล้วผมเดินมาข้างหน้าพร้อมกับรีบจ่ายค่าโดยสาร พอมาอยู่ที่ส่วนหน้าผมพบทำเลทอง(Dragon Position)ตรงฝั่งซ้ายมือของหัวรถ แต่มีหญิงสาวท่านนึงยืนอยู่แต่ไม่เป็นไรด้านขวาก็ทำเลดีเพราะพอผมไปยืนคู่กับหญิงสาวท่านนั้น(synergy)จะเป็นการปิดทางเข้าออกพอดี
หญิงสาวท่านนั้นจะstand byที่นั่งทันที3ที่ ส่วนของผม2ที่ เพราะที่ว่างข้างหน้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับเธอคือเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังนั้นไม่มีใครเดินแทรกมาได้(non-competitive) แต่ผมโชคดีมากๆที่เธอลงป้ายถัดไป ผมจึงขยับมายืนตรงตำแหน่งของเธอซึ่งผมวางตำแหน่ง(positioning)การยืนของผมทำให้ผมกันที่ได้ถึง5ที่ทางฝั่งซ้ายทั้งหมดโดยมีที่นั่ง3ตัวที่อยู่ข้างเครื่องยนต์ แล้วแถวคู่อีก2ตัวผมยืนด้านหน้าคนที่นั่งแถวคู่ตัวริมทางเดินเพื่อปิดช่อง3ที่ด้านหน้าพอกับเพิ่มโอกาสที่จะได้นั่งในอีก2ที่ข้างหลัง เพราะถึงแม้ว่าจะมีชายหนุ่มคนนึงยืนข้างๆที่นั่งด้านหลังของผม แต่เมื่อคนที่นั่งข้างหลังของผมลุกขึ้นเขาจะต้องถอยออกไปประมาณ1-2ก้าวเพื่อหลีกทาง ส่วนผมแค่ถอยหลังมานั่งก็จบแล้ว

นี่คือศาสตร์อย่างนึงให้ชีวิตประจำวันที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเงินลงหลักสูตรสำหรับผู้บริหารเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้มันอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง มันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นแล้วนำมันมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและธุรกิจการงานของคุณได้รึเปล่า ต่อให้คุณไปเรียนมาแพงๆแล้วคุณนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ก็ไม่ค่าอะไร แล้วคุณก็ยังแพ้คนเดินดินธรรมดาที่เรียนในมหาลัยชีวิตโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทแล้วล่ะครับ

ลองให้สิ่งรอบๆตัวมาตั้งโจทย์เล่นก็ได้นะครับ แล้วคุณจะพบว่าตำราเรียนทุกเล่มบนโลกนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม(คิด)

วันพุธที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ความเสี่ยง

ทุกๆคนรู้ว่าการเล่นหุ้นมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการเล่นพนัน
หลายๆคนยังเปรียบตลาดหลักทรัพย์ว่าเป็นบ่อนเสรีแห่งหนึ่ง

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงละก็...การเล่นหุ้นจะเป็นการพนันที่ให้ผลแทนที่คุ้มค่าและมีเหตุผลมากที่สุดบนโลกนี้!!!
การพนันส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้เจ้ามือได้เปรียบ ส่วนการพนันที่เจ้ามือไม่ได้เปรียบคือการพนันที่ไม่มีเจ้ามือ
การพนันเป็นzero-sum-game เพราะเงินจะเคลื่อนที่จากผู้แพ้ไปยังผู้ชนะ(ส่วนใหญ่ก็เจ้ามืออีก)
ส่วนการเล่นหุ้นนั้นจริงๆแล้วเป็นwin-winครับ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพราะว่าการเล่นหุ้นคือการซื้อ-ขายส่วนของความเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ ฝ่ายขายได้โอนสิทธิในส่วนที่ตนเป็นเจ้าของไปยังฝ่ายซื้อ ฝ่ายซื้อก็จะกลายเป็นเจ้าของคนหนึ่งของบริษัทแห่งนั้น
บางคนอาจจะแย้งว่าในการซื้อ-ขายหุ้นก็มีคนขาดทุน!!!
ใช่ครับผมยอมรับว่า มีแต่ทุกคนย่อมรู้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยงครับ
ความการลงทุนนี้รวมไปถึงการลงทุนอื่นๆด้วย(เค้าไม่ได้บอกแค่ว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง) การลงทุนนับรวมไปถึงการซื้อพันธบัตร,หุ้นกู้,อสังหาริมทรัพย์,ทำธุรกิจ แม้กระทั่งฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ คุณอย่านึกนะครับว่าเงินฝากของคุณจะอยู่ครบ ทันทีที่คุณนำเงินไปฝากแบงค์ก็จะนำเงินของคุณไปให้คนอื่นกู้ ผมเดาได้เลยว่าถ้าคนสักครึ่งประเทศไปถอนเงินพร้อมกันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจากการที่แบงค์ปล่อยเงินกู้ออกไปนั้น โอกาสได้กลับคืนมาก็วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนไม่ได้ครับ และที่สำคัญอย่าคิดว่าธุรกิจธนาคารเป็นประเภทนอนกินยังไงก็ไม่เจ๊งนะครับ ย้อนกลับไปดูตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจดูได้ครับ ถ้าคิดว่ายุคนี้มันเป็นไปแล้วผมจะให้ลิ้งค์ไว้ไปเปิดดูเอาเองนะครับ เป็นสถานะทางการเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง http://www.settrade.com/simsImg/news/2007/07001449.t07

ขอย้อนกลับมายังเรื่องการพนันกับการเล่นหุ้นต่อ
การพนันมีเวลาที่จำกัดครับ เมื่อคุณวางเงินเดิมพันที่จะเล่นคุณจะมีเวลาทำเงินแค่ระยะเวลาสั้นๆที่เกมส์ดำเนินไป ถ้าเป็นไพ่อาจจะนานหน่อย แต่ถ้าเป็นการทอยลูกเต๋าล่ะ การพนันฟุตบอลก็เช่นเดียวกันคุณมีเวลา90นาทีที่จะทำได้แค่นั่งดู
ส่วนหุ้นคุณสามารถถือได้ตลอดชีวิต เป็นมรดกให้ลูกได้ด้วย และที่สำคัญระหว่างที่คุณยังอยู่ในเกมส์คุณจะได้ผลตอบแทน(เงินปันผล)กลับมา ยิ่งคุณอยู่ในเกมส์หุ้นนานเท่าไหร่คุณต้นทุนของคุณจะวิ่งกลับเข้ามายังกระเป๋าของคุณมากเท่านั้น
การเล่นพนันคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าไพ่ที่คุณจะได้คืออะไร พอจั่วมาแล้วคุณรู้ของคุณแต่ไม่รู้ของคู่แข่ง
ส่วนการเล่นหุ้นคุณได้รับรู้ข้อมูลของทั้งบริษัทที่คุณสนใจและของบริษัทคู่แข่งก่อนที่คุณจะวางเงินไป

การพนันโดยทั่วๆไปคุณจะเสียเงินลงทุนไปทั้งก้อนที่ลงไปในเกมส์นั้น
แต่การเล่นหุ้นคุณตัดขาดทุนตั้งแต่ยังเสียน้อยๆได้

ถ้าเกิดได้ล่ะ!
สมมติว่าได้กำไรเท่าตัวทั้งคู่ การพนันโดยทั่วไปจะจบเกมส์แค่นั้น ส่วนหุ้นคุณขายออกครึ่งนึง(เอาทุนคืนมาก่อน)แล้วถือต่อไปอย่างน้อยก็ได้หุ้นฟรีบวกกับอยู่ในเกมส์ต่อไปเพื่อลุ้นกำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้นและยังไม่เงินกินเปล่า(ปันผล)ไปเรื่อยๆ

แค่นี้คงจะพอสรุปได้ว่าถ้าหุ้นคือการพนันล่ะก็มันจะเป็นการพนันที่เสี่ยงน้อยที่สุดและน่าเล่นที่สุด เพราะกติกาเอื้อให้เราได้เปรียบเห็นๆ
แล้วผมก็เป็นคนนึงที่กล้าเสี่ยงไปกับการพนันชนิดนี้ไปแล้ว ^_^

วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ศัตรูตัวฉกาจของเงินออม

หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับคนหลายๆคน ทำให้ผมได้ทราบว่าคนไทยมักจะมองข้ามการลงทุนไป(ผมเดาว่าไม่ได้ออมด้วย) บางคนคิดว่าไม่มีเวลาบ้าง มีเงินน้อยบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บางคนคิดมีเงินเดือนเยอะอยู่แล้ว และบางคนถามผมว่าคิดไกลเกินไปรึเปล่า?

ตอนนี้ผมได้ศัตรูตัวแรกแล้ว นั่นก็คือตัวของพวกคุณเอง(ผมหวังว่าคนที่เข้ามาอ่านคงจะไม่คิดแบบข้างบนนะ) เพราะแค่พวกคุณปิดกั้นด้วยข้อแก้ตัวเหล่านั้นคุณจะไม่มีวันได้พบกับอิสรภาพทางการเงิน เอาล่ะผมไม่อยากพูดถึงศัตรูตัวนี้สักเท่าไหร่นักไปพูดถึงตัวอื่นๆดีกว่า แล้วศัตรูตัวนี้อาจจะกลับใจได้

ตัวที่สองคือสังขารของพวกคุณ ทุกๆคนย่อมมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ยิ่งแก่กับเจ็บนะครับค่าใช้จ่ายแพงมาก(นี่คือสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มรพ.มีpeที่สูงมาก) เอาแค่นี้ก็พอนึกภาพกันออกนะครับว่าโรคบางโรคทำให้เงินที่คุณหามาทั้งชีวิตหายไปได้ นี่ยังไม่นับญาติของคุณที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เหมือนคุณ แน่นอนว่าคุณต้องหาเงินมาช่วยอยู่แล้ว

ตัวที่สามครับน่ากลัวที่สุด เพราะทุกคนมองไม่เห็นและมันร้ายขึ้นทุกวัน มันคือเงินเฟ้อครับ
คงจะมองไม่ภาพกัน ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ สมัยพ่อผมเด็กๆใครพกเงินไปโรงเรียนสัก5บาทนี่ก็ถือบ้านรวยแล้วนะครับ กินข้าว กินก๋วยเตี๋ยวได้สบายๆ แถมยังเหลือไว้กินขนมและหยอดกระปุกได้อีก แต่ปัจจุบันครับซื้อเลย์ยังไม่ได้เลยครับ ย้ำว่าเลย์ถุงเล็กๆ ที่มีขนมในซองไม่ถึงครึ่งซอง*_* เอาล่ะถ้ามองโลกในแง่ดีก็ยังซื้อมาม่ากินได้ครับพออยู่ท้อง
นั่นคือความน่ากลัวในระยะยาวซึ่งทุกคนคงไม่เห็นภาพชัดพอ
วันนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ระหว่าง0.5-4.25 คนส่วนใหญ่จะได้เรทที่0.75 ส่วน4.25อ่ะมีkbankรายเดียวครับซึ่งน่าจะต้องมีรายละเอียดอะไรพิเศษ ผมตีดอกเบี้ยสำหรับฝากออมทรัพย์ที่ 1.5%ต่อปีแล้วกัน ถ้าคุณมีเงิน100บาท ปีถัดไปคุณคิดว่าเงินในบัญชีจะเป็นเท่าไหร่? 101.5? คำตอบคือไม่ใช่ครับ คุณโดนหักค่าธรรมเนียมแน่นอนแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ผมยังหยวนๆให้คุณมีเงินเป็น101.5 บาท แต่คุณรู้อะไรรึเปล่าว่าเงิน101.5บาทมีค่าลดลง งงล่ะสิ!
คุณรู้รึเปล่าว่าปีที่ผ่านมาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์?
เท่าที่ผมทราบว่านะครับ ประมาณ3.5%ได้ นั่นหมายถึงของใช้จะราคาแพงขึ้น3.5% แต่คุณกลับได้ดอกเบี้ยแค่1.5% เท่ากับคุณติดลบ2%
สมมติคุณอยากซื้อเสื้อ100บาท ปีหน้าราคามันกลายเป็น103.5บาท แต่คุณมีเงินแค่101.5บาท คุณต้องหาเงินมาเพิ่มอีก2บาท
แต่ถ้าคุณยังบอกว่าคุณเอาเงินเดือนมาซื้อก็ได้ คุณคิดผิดครับ เพราะเงินเฟ้อจะทำให้ทุกอย่างแพงขึ้น ต้นทุนราคาแพงใครๆก็ต้องเพิ่มราคาขายทั้งนั้นครับ และอย่ามั่นใจว่าคุณจะมีเงินเดือนใช้ไปเรื่อยๆนะครับ เพราะต่อให้เรียนมาสูงๆก็ตกงานได้ครับ
ถ้าย้อนกลับไปปี39 บางคนมีเคยเงินเดือนถึง50,000บาท โบนัส12เดือน แต่พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทจำนวนมากต้องลดเงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน 50,000เหลือ10,000บ้าง ไม่มีโบนัสอีก ใครโชคร้ายก็ถูกไล่ออกครับ นี่เป็นเหตุการณ์จริงซึ่งไม่ต้องเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่บริษัทของคุณอาจจะสู้คู่แข่งไม่ได้ก็ต้องปิดตัวไปอยู่ดี หรือมีคนที่เก่งกว่าคุณเข้ามาทำงาน เขาคงไม่เก็บคุณไว้ดูเล่นแน่นอน
นี่แค่ผลระยะสั้นนะครับ ถ้าคุณติดลบ2%ไปเรื่อยๆทุกๆปีทบต้นสัก5-10ปีก็แย่แล้วครับ

ขอโทษทีนะครับที่เรื่องค่อนข้างเครียดแต่มันเป็นที่ควรจะรู้เพื่อความไม่ประมาท

ต่อครับตัวต่อมาดอกเบี้ยเงินกู้ครับ ใครที่ผ่อนบ้านอยู่กรุณาช่วยนำใบผ่อนชำระมาดูด้วยครับ จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยทบต้นครับ(ที่บ้านผมดอกเบี้ยสูงกว่าเงินต้นจริงๆ) กู้มาซื้อบ้านซื้อรถผมเห็นด้วยนะครับ ถือเป็นลงทุนที่ดี เพราะยิ่งจ่ายสัดส่วนที่เราเป็นเจ้าของก็จะเพิ่มขึ้น(แต่อย่าลืมว่าถ้ายังผ่อนอยู่ คุณยังไม่มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ และถ้าไม่มีเงินจ่ายคุณจะถูกยึดบ้าน,รถ)
ดอกเบี้นเงินกู้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็นดอกเบี้ยที่โหดที่สุด(จำไว้ว่าถ้าคุณมีหนี้หลายทางและจ่ายได้ไม่หมด คุณต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิตก่อน ค่าบ้านกับค่ารถไว้ทีหลัง) เพราะดอกเบี้ยสูงถึง20% และที่สำคัญเวลาที่คุณจ่ายขั้นต่ำไปเค้าไม่ได้คิดดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระ แต่คิดจากยอดที่ใช้ เช่นคุณรูดไป5,000บาท คุณชำระหนี้ไป4,500บาท เหลือ500บาท คุณนึกว่าเค้าคิด20%จาก500 แต่ไม่ใช่ครับ เค้าคิดจาก5,000บาท น่ากลัวมากๆครับ

เท่าที่ผมนึกได้ตอนนี้ก็มีแค่นี้ครับ(คงมีอีกแต่เวลาผมเขียนบล็อกผมมักจะเขียนสดครับ ได้อารมณ์มากกว่า แต่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วครับสำหรับการที่จะรักษามูลค่าของเงิน)
*อัตราดอกเบี้ยนำมาจากเวบของbot(ธนาคารแห่งประเทศไทย)ครับ

วันเสาร์ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ความแตกต่างระหว่างเล่นหุ้นกับลงทุนในหุ้น

เวลามีคนถามว่าทำอะไรอยู่?
ผมอยากจะตอบว่าลงทุนในหุ้นก็ดูจะเป็นคำพูดที่สวยหรูเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่
จะตอบว่าเล่นหุ้นก็ไม่ได้เพราะผมไม่ได้เล่นแต่ผมลงทุนจริงๆ

สำหรับผมคำว่าเล่นหุ้นมีความใกล้เคียงกับการเล่นพนันมาก เพราะคนที่เข้าไปเล่นไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของบริษัทที่ตนเองซื้อเลย ที่แย่กว่านั้นบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร คนพวกนี้มักจะดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นซึ่งมันคาดการณ์ไม่ได้เพราะมันมีการผันผวนอยู่ตลอดเวลา บางทีก็อาศัยข่าว ซึ่งข่าวก็มีทั้งจริงและไม่จริงปนๆกันอยู่ แล้วณ.นาทีนั้นๆคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวที่ได้ยินมามันจริงรึเปล่า?

สำหรับคำว่าการลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ นักลงทุนจะต้องดูพื้นฐานของบริษัทว่าทำธุรกิจอะไร อยู่ในอุตสาหกรรมไหน ลูกค้าคือใครผลประกอบการที่ผ่านๆมาเป็นอย่างไร ผู้บริหารคือใครเชื่อถือได้แค่ไหน รวมทั้งปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบต่อบริษัทที่ตนเองต้องการจะเข้าไปถือหุ้นด้วย

สรุปก็คือผู้ที่ซื้อหุ้นจะกลายเป็นเจ้าของคนหนึ่งของบริษัทนั้น คุณลองคิดดูว่าคุณอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณรู้ข้อมูลของบริษัทเป็นอย่างดีหรือเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณถูกหลอกให้ซื้อ(ติดหุ้น)

แต่ส่วนมากยังคงใช้คำว่าเล่นกับทั้งสองประเภทดังนั้นผมจึงไม่สามารถฝืนได้ จึงขอใช้คำว่าเล่นหุ้นเช่นกัน แต่คุณต้องแยกให้ออกนะครับว่าเล่นหุ้นแบบการพนันกับเล่นหุ้นแบบทำธุรกิจต่างกันอย่างไร?

เปิดตัวบล็อกใหม่ของผมครับ


บล็อกนี้จะเกี่ยวเรื่องราว,ประสบการณ์ของผมที่ได้สัมผัสมาโดยจะเน้นเรื่องมองมุมการใช้ชีวิตและการลงทุนเป็นหลัก บางครั้งอาจจะมีเรื่องราวหรือบทความดีๆมาให้อ่านกันบ้าง
ผมหวังว่าบล็อกนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะครับ
ตอนนี้มือใหม่ขอตัวไปหัดทำบล็อกดีๆให้ทุกๆคนได้อ่านกันก่อนนะครับ