วันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

ปริมาณกับคุณภาพ

เมื่อวานตอนเย็นผมได้คุยกับเด็กม.3คนนึง เด็กคนนั้นบ่นว่ามีรายงานที่อาจารย์พึ่งสั่งและให้ส่งวันจันทร์ ที่สำคัญต้องทำอย่างต่ำ100หน้า ในมุมมองของผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้เด็กมาทำรายงานในลักษณะแบบนี้เพราะไม่ได้เป็นการดึงศักยภาพใดๆในตัวเด็กออกมาเลย ท่านที่เป็นอาจารย์น่าจะทราบดีว่าทุกๆครั้งเด็กมักจะลอกมาส่ง ท่านจึงให้ใช้มือเขียนเพื่อหลีกเลี่ยงการcopy&paste โดยที่ท่านก็รู้อยู่ดีว่าการใช้มือเขียนนั้นก็ยังคงไปลอกมาอยู่ดี อาจจะดีตรงที่เหมือนกับเด็กได้อ่านทบทวนไปในตัวผมคิดว่าตรงนี้ถือว่าเหมาะสมแต่การที่ให้ทำในปริมาณที่มากเกินควรไม่ได้ช่วยอะไรเด็กเลย กลับเป็นการทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่ายทำๆไปให้เสร็จ สรุปว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยรายงานปึกใหญ่ๆนั้นก็ไร้คุณค่าทางวิชาการและจิตวิญญาณ

สมัยที่ผมเรียนม.5เทอมหนึ่ง มีวิชาที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจหลายๆวิชาซึ่งผมชอบมากๆ เพราะไม่ได้เป็นการบังคับให้ต้องอ่านหรือทำรายงานอะไรที่เป็นเนื้อหาตายตัว มีอยู่วิชานึง อ.ชัชวาลย์ ธันวารชรเป็นผู้สอน การเรียนก็สบายๆ จนมาถึงช่วงสิ้นเทอมก็มีรายงานให้ทำ โดยให้เขียนเกี่ยวกับอาชีพในฝัน ด้วยความประมาทผมได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังคงคิดว่าจะเขียนอะไรดีเพราะโจทย์นี้ค่อนข้างอิสระมากๆ เห็นเพื่อนๆหลายคนก็เข้าสมุดไปยืมหนังสือเกี่ยวทนายความบ้างหรืออาชีพต่างๆที่อยากเป็น ส่วนตัวผมอยากเป็นนักธุรกิจแต่จะทำอะไรดีล่ะ?
จนกระทั่งวันสุดท้ายผมคิดได้ว่าเอาร้านกาแฟเนี่ยแหละน่าจะดี คืนนั้นผมเอากระดาษเปล่ามานั่งคำนวณปริมาณลูกค้าที่น่าจะเข้ามาในร้านกาแฟและราคาขายเพื่อหารายได้เฉลี่ย แล้วผมก็โทรศัพท์ไปหาคุณพ่อเพื่อสอบถามค่าเช่าที่ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งคุณพ่อก็บอกมาอย่างละเอียด(บอกเป็นตารางเมตร) พอผมได้ทราบค่าเช่าผมก็มาคำนวณดูว่าคุ้มรึเปล่าซึงผลออกมาคุ้มมากๆ ผมจึงลงมือเขียนทันที ในระหว่างที่เขียนผมก็ได้ใส่ความคิดของผมลงไปอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ได้กางหนังสือเล่มใดๆออกมาดูเลย ผมออกแบบLogo(องค์ประกอบต่างในLogoมีความหมายหมดเลย) ชื่อร้าน(smile coffee ประเทศไทยเป็นเมืองยิ้มครับ)วางLocationและประมาณการทางตัวเลขทุกอย่างเท่าที่เด็กม.5พอจะนึกออก รายงานนั้นบางมากๆมีแค่12-14หน้ารวมปกหน้า-หลังอีกต่างหาก และแต่ละหน้าไม่ได้เขียนเต็มแผ่น เขียนแค่หน้าละครึ่งเท่านั้น! แต่ผมคิดว่ารายงานนั้นเป็นรายงานที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย มีเพื่อนบางคนมาบอกผมว่าทำแบบนี้ไม่ได้คะแนนหรอก แต่ผลออกมาผมได้เกรด4ในวิชานั้น(รายงานมีคะแนนประมาณ70%ของคะแนนเก็บมั้งถ้าผมจำไม่ผิด) คนที่เนื้อหาทางวิชาการแน่นๆ(เอามาจากหนังสือ)จะได้เกรด3กัน

ผมคิดว่าปริมาณไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพหรอกครับ จะดีกว่าถ้าหากเป็นจากสั่งรายงาน100หน้าไปเป็นแสดงความคิดเห็นหนึ่งหน้ากระดาษA4 อย่างน้อยเราก็จะได้ช่วยกันพัฒนาความคิดของเด็กและสร้างบุคลากรของชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารออกมาทำงาน ผมอยากให้ประเทศเรามีการสร้างสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาด ไม่ใช่ก็อปของต่างชาติมาขาย ความจริงคนไทยมีความสามารถแต่ถูกปิดกั้นทางความคิด ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าที่จะออกนอกกรอบ เพราะถูกสอนมาว่าในหนังสือนั่นแหละถูกต้องและทำในปริมาณเยอะๆยิ่งดี ซึ่งตรงนี้ก็กลายเป็นปัญหาอีก เพราะการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กทำให้หลายๆคนชอบทำOT ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับการทำOT ทำไมไม่ทำงานให้เสร็จสิ้นในเวลาล่ะ อยากทำเพิ่มก็ควรทำในเวลา แล้ววัดไว้จริงหรือว่าคนทำOTขยันกว่าคนที่กลับบ้านเร็ว ในเวลาทำงานพวกทำOTอาจจะไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่100% แถมเปลืองไฟด้วย ผมอยากให้บริษัทต่างกลับไปทบทวนดูว่าคุณเสียค่าไฟไปเท่าไหร่กับคนทำOT ถ้าเขาหลายนั้นสามารถทำงานทั้งหมดได้ในเวลาจะดีกว่ามั้ย? ปริมาณเวลาที่ทำงานวัดคุณภาพของงานได้หรือ? แถมเรื่องนี้ยังกระทบต่อสถาบันครอบครัวด้วย เพราะคุณกลับบ้านไปลูกก็คงหลับไปแล้ว พอลูกคุณโตขึ้นเขาก็จะทำแบบเดียวกับคุณ โดยมีเหตุผลที่ว่าทำOTเพื่อลูก

นอกเรื่องมาพอสมควรเอาเป็นว่าผมอยากให้การบ้านต่างๆของเด็กเน้นไปที่การพัฒนาความคิดมากกว่าที่จะให้เด็กไปลอกมาส่งครับ กระดาษแผ่นเดียวที่มาจากความคิดของเด็กคนนั้นๆมีค่ามากกว่ารายงาน100หน้าที่ไปลอกมาครับ

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เจรงด้วยครับ

คงเป็นเพราะคนวัดผลงานไม่แน่ใจว่าเด็กลอกอินเตอร์เนตมาหรือเปล่าก็เลยเปลี่ยนไปให้คะแนนตามจำนวนหน้าแทน ส่งมากได้มากส่งน้อยได้น้อย เด็กเองก็ขาดจิตวิญญาณ อยากได้คะแนนอย่างเดียวไมได้อยากรู้

-สุมาอี้